แต่ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ปูพรมแดงต้อนรับพลเอก ประยุทธ์ จันโอชาพร้อมภริยา และคณะผู้แทนไทยอย่างเอิกเกริกเลยทีเดียว

ช่วงของการพูดคุยกันก็เป็นไปอย่างกันเอง ผิดกับคำพูดที่ก้าวร้าว หรือไม่เป็นมิตรที่ทรัมป์ใช้กับผู้นำคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเม็กซิโก จีน อิหร่าน เยอรมันนี แคนาดา ฯลฯ

การเดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีไทยระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคมจึงสามารถมองได้ว่าไทยมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงจังหวะเวลานี้ที่สหรัฐให้ความสนใจเป็นพิเศษในปัญหาภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีเหนือและทะเลจีนใต้

ทรัมป์พูดชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐเข้มแข็งและดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เพราะว่าหลังจากไทยมีการทำรัฐประหารเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยบิ๊กตู่ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศเสื่อมลง เพราะว่าโอบามาลดเกรดประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกันทางด้านการทหาร

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจยังคงไปได้ดีมาตลอดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ทรัมป์พูดว่าการค้าไทยและสหรัฐปีหนึ่งตกประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ และไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ 19,000 ล้านดอลลาร์ ทรัมป์ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้มากที่ขาดดุลการค้ากับไทย ผิดกับที่ทรัมป์แสดงออกกับจีน เม็กซิโก และเยอรมันนีที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐค่อนข้างสูง และทรัมป์ต้องการใช้มาตรการกีดกันการค้าตอบโต้เพื่อทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

พลเอกประยุทธ์พูดแบบปากหวานว่า ไทยก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐโดยรวม และจะมีความร่วมมือมากยิ่งขึ้นด้านความมั่นคง

“เรื่องการเมืองนั้น ประเด็นสำคัญคือ เรามาในฐานะนี้ เขาก็ต้อนรับ ให้เกียรติเราขนาดนี้ โดยได้พูดกับประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า ในการเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากลนั้นจะเป็นไปตามโรดแมป ในปีหน้าเราจะประกาศวันเลือกตั้งออกมา โดยไม่มีการเลื่อนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อประกาศแล้วก็จะมีกรรมาวิธีของการเลือกตั้ง คือนับไปอีก 150 วันตามกฎหมายหลังจากประกาศ ยืนยันว่าจะประกาศเลือกตั้งปีหน้าแน่นอน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ถามเรื่องการเลือกตั้ง แต่ตนได้แสดงความเชื่อมั่นออกไป เพราะไม่ได้ปกปิดใคร ไม่ได้บิดเบือนอย่างที่หลายคนกล่าวอ้าง โดยพูดเช่นนี้มาโดยตลอด

“นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนการพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์เกาหลีเหนือนั้น ได้ยืนยันกับผู้นำสหรัฐว่าจะดำเนินการทุกอย่างตามพันธกรณี รวมถึงยืนยันความพยายามที่จะดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยในภูมิภาค โดยเฉพาะปัญหาในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพม่า โดยสนับสนุนให้แก้ปัญหาภายในให้ได้โดยเร็ว และได้มีการประสานกับผู้นำพม่าไปแล้ว”