กองทุนบัวหลวงเสนอขาย IPO ‘BEQSSF’ 1-8 เม.ย. นี้ สำหรับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษี

กองทุนบัวหลวงเสนอขาย IPO ‘BEQSSF’ 1-8 เม.ย. นี้ สำหรับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษี

กองทุนบัวหลวงเตรียมเสนอขาย IPO “กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม” หรือ BEQSSF ระหว่างวันที่ 1-8 เมษายน 2563 นี้ สำหรับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสจากการลงทุนในหุ้นไทย ช่วงเวลา 10 ปีนับจากนี้ไป อีกทั้งต้องการจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา ด้วยวงเงินลงทุนพิเศษ ไม่เกิน 200,000 บาท

คุณวศิน วัฒนวรกิจกุล

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Business Distribution บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวง จะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) “กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม” หรือ BEQSSF ในระหว่างวันที่ 1-8 เมษายน 2563 โดยจะเป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 เฉพาะวงเงินพิเศษ ไม่เกิน 200,000 บาท ได้

“หากมีความพร้อมด้านการเงิน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนก้อนนี้ ในช่วง 10 ปีนับจากนี้อีกทั้งใจพร้อมและมองไกล โดยมองว่า โอกาสการลงทุนในหุ้นไทยช่วง 10 ปีต่อจากนี้ เหมือนกับการปลูกต้นไม้ แล้วอดทนรอ เพื่อหวังที่จะเก็บเกี่ยวผลที่มีโอกาสงอกเงยในอนาคต ก็สามารถลงทุนในกองทุน BEQSSF ได้” กรรมการผู้จัดการ กล่าว

นายวศิน กล่าวว่า ในทุกช่วงของเศรษฐกิจ เวลาที่เราตัดสินใจลงทุนไป ก็จะเกิดผลด้านใดด้านหนึ่ง หากลงทุนแล้ว ราคาปรับขึ้นไปมากกว่าช่วงที่ซื้อไว้ ผู้ลงทุนก็มีความสุข แต่ถ้าเกิดในช่วงใด ที่ราคาลงมา ต่ำกว่าที่เคยซื้อไว้ ก็ย่อมรู้สึกผิดหวัง แต่ในทางกลับกัน หากไม่ลงทุนเลยแล้วราคาปรับขึ้นไป ก็จะรู้สึกเสียดาย สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออมนี้ จะใช้เวลาถึง 10 ปี ดังนั้น ก็เชื่อว่า มีโอกาสที่จะสมหวังมากกว่าผิดหวัง เพราะในช่วงเวลา 10 ปี ธุรกิจยังจะต้องเติบโต ในขณะที่ เศรษฐกิจไทยเอง ก็ย่อมมีความมั่นคงและเจริญเติบโตได้ในอนาคต

สำหรับ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม หรือ BEQSSF เป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนที่เหลือ จะลงทุนในตราสารทุนนอกเหนือจากที่กล่าวมา กองทุนดังกล่าวจะไม่ลงทุนในต่างประเทศ และไม่มีนโยบาย การจ่ายเงินปันผล

ขณะเดียวกัน กองทุนนี้จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขาย ส่วนค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน หากถือครองน้อยกว่า หรือเท่ากับ 1 ปี จะเรียกเก็บไม่เกิน 1.00% ขั้นต่ำ 50 บาท หากถือครองมากกว่า 1 ปี จะเรียกเก็บ 50 บาทต่อรายการ ทั้งนี้ สามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท โดยขณะนี้ ยังไม่เปิดให้บริการหักบัญชีเงินฝากแบบถัวเฉลี่ย (DCA)

ทั้งนี้ การรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีพิเศษ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 จะต้องลงทุนใน BEQSSF ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 เท่านั้น โดยจำนวนเงินที่ผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนกองทุน BEQSSF ในช่วงเวลาที่กล่าวมานี้ จะถูกนับแยกออกจากวงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อหน่วยลงทุน กองทุน SSF ปกติ และไม่ได้นำไปนับรวมกับวงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีกองทุนเพื่อวางแผนเกษียณ โดยกำหนดวงเงินลงทุนไว้ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ในระยะแรก ยังไม่เปิดให้บริการสับเปลี่ยนหรือโอนหน่วยลงทุน และเมื่อเปิดให้บริการสับเปลี่ยนหรือโอน จะสับเปลี่ยนหรือโอนได้เฉพาะกองทุน SSF ที่มีนโยบาย การลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) หรือเป็นไปตามประกาศในอนาคต

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลรายละเอียดกองทุน BEQSSF หรือติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ กองทุนบัวหลวง โทร. 0 2674 6488 กด 8 หรือตัวแทนขายหน่วยลงทุน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ตัวแทนขายของกรุงเทพประกันชีวิต บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส บมจ.หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) บมจ.หลักทรัพย์ ภัทร บจ.หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) บมจ.หลักทรัพย์ กรุงศรี และ บจ.หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

กองทุนบัวหลวง
31 มีนาคม 2563