นักลงทุนระดับเงินล้านมีแนวทางการลงทุนอย่างไรในภาวะตลาดหมี (Bear Market)?

นักลงทุนระดับเงินล้านมีแนวทางการลงทุนอย่างไรในภาวะตลาดหมี (Bear Market)?

โดย…ทนง ขันทอง

เป็นธรรมดาที่นักลงทุนทั่วไปจะตกอกตกใจในยามตลาดหุ้นซบเซา หรือในภาวะตลาดหมี (Bear Market) และมีแนวโน้มต้องการขายหุ้นออกไปให้หมด

ตามคำจำกัดความ ภาวะตลาดหมีเกิดขึ้นเมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวลง 20% หรือมากกว่า

แต่ลุงวอร์เรน บัฟเฟตต์ มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในทุกภาวะตลาด ไม่ว่าจะมีวิกฤติ หรือผันผวนเพียงใด ทำให้ผลตอบแทนที่ลุงบัฟเฟตต์ได้รับเฉลี่ยแล้ว 20% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา

บ่อยครั้งที่นักลงทุนโดยทั่วไปจะตั้งคำถามถึงกลยุทธ์การลงทุนของตัวเอง แม้ว่าจะเชื่อมั่นในตัวเลขในภาวะตลาดหมี แต่มันอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์หวั่นไหวไปกับความผันผวนของตลาด

เอลเลน ชาง และรีเบคกา เลค เขียนบทความเรื่อง “เศรษฐีเงินล้านลงทุนในภาวะตลาดหมีอย่างไร” ในสื่อ US News & World Report โดยให้คำแนะนำแนวทางการลงทุนของมหาเศรษฐีในภาวะตลาดหมี เพื่อช่วยให้นักลงทุนทั่วไปสามารถรักษาเสถียรภาพ และความต่อเนื่องในยุทธศาสตร์การลงทุนของตัวเองได้ แนวทางการลงทุนมีดังต่อไปนี้

1. ยับยั้งใจที่จะวิ่งหนีออกจากตลาด

นักลงทุนส่วนมากจะขายหุ้นทิ้งในช่วงตลาดหมี เพื่อที่จะจำกัดการขาดทุน แต่การทำเช่นนี้ขัดกับหลักการของนักลงทุนระดับเงินล้าน เพราะว่าเวลาขายหุ้นออกไป เมื่อตลาดมีการฟื้นตัว นักลงทุนจะไม่ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากหุ้นขึ้น

ทางที่ดี นักลงทุนควรที่จะมีเงินสดสำรองเอาไว้ใช้ในภาวะหมี จะได้ไม่ขายหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีออกไปในราคาถูก

2. คิดให้ใหญ่ แต่ปรับการลงทุนเล็กๆน้อยๆไปตามทาง 

ในภาวะตลาดหมี นักลงทุนระดับเงินล้านจะยังคงโฟกัสกับเป้าหมายการลงทุนของตัวเองโดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะปรับยุทธวิธีการลงทุนให้เหมาะสม

นักลงทุนระดับเงินล้านจะมองภาพใหญ่ และมีมุมมองระยะยาว 5-10 ปี โดยมองว่าเศรษฐกิจ หรือตลาดในอนาคตจะเป็นอย่างไร ผู้บริโภคจะใช้เงินอย่างไร อัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร แล้วปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับภาพใหญ่ในอนาคต

การปรับการลงทุนทีละเล็กทีละน้อยแบบค่อยเป็นค่อยไปจะให้ผลดีกว่าการปรับการลงทุนขนาดใหญ่แบบทิ้งทวนเลยทีเดียวเสมอ และจะช่วยให้รู้ความผิดพลาดในการลงทุน

3. ลงทุนแบบอัตโนมัติ

การลงทุนอย่างต่อเนื่องแบบอัตโนมัติ คือแบ่งปันเงินออมมาลงทุนในจำนวนหรือสัดส่วนที่เท่าๆ กันทุกเดือน หรืออาจจะเพิ่มได้ในอนาคตเมื่อมีรายได้เพิ่ม จะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่มั่นคง และต่อเนื่องตามหลักของ dollar cost averaging และผลตอบแทนทวีคูณ

นอกจากนี้ การลงทุนแบบอัตโนมัติยังช่วยให้เราไม่ต้องไปห่วงพะวงกับจังหวะของการลงทุน เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าตลาดวันนี้ หรือพรุ่งนี้จะขึ้นลงอย่างไร เมื่อนักลงทุนขายหุ้นออกไป เขาต้องมั่นใจว่าตัดสินใจถูก 2 เรื่อง คือ 1.) จังหวะเวลาที่ขายหุ้น 2.) จังหวะเวลาที่กลับเข้าไปซื้อหุ้นใหม่

ส่วนมากแล้วจะคิดคำนวณเวลาเข้าออกตลาดผิดพลาด ทางที่ดี คงเงินลงทุนในตลาดหุ้นดีกว่าที่จะพยายามเก็งระยะเวลาของการเข้า-ออกตลาด

4. รู้ว่าเราถือครองหุ้นอะไร

หลักการลงทุนว่า “เรารู้ว่าเรากำลังถือครองหุ้นอะไร “นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เวลาเราจะถือครองหุ้นอะไร มันต้องมีเหตุผล และเหตุผลนั้นต้องเป็นเหตุผลประการเดียว (single reason) ที่ทำให้เรามีความชอบและมั่นใจอย่างมาก และเมื่อเวลาผ่านไป เหตุผลที่เราถือครองหุ้นนั้นเปลี่ยนไป สภาพการณ์โดยรวมมีการเปลี่ยนแปลง เราต้องไม่ลังเลใจที่จะขายหุ้นนั้นออกไป เพราะว่ามันไม่ตอบเหตุผลอีกต่อไป

5. จำกัดการขาดทุน

การจำกัดการขาดทุนมีความสำคัญที่สุด โดยสามารถบริหารเรื่องนี้ได้ผ่านการกระจายความเสี่ยงการลงทุน ปรับพอร์ตให้มีความสมดุลตามความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุน เช่น ปรับสัดส่วนของการลงทุนในหุ้น หรือในตราสารหนี้ หรือทรัพย์สินอื่นๆ ในระดับที่เหมาะสม

6. มองภาพภาวะตลาดหมีให้ถ่องแท้

ในภาวะตลาดหมี นักลงทุนส่วนใหญ่จะรู้สึกกลัว หรือตกใจ แต่นักลงทุนระดับเงินล้านจะมีมุมมองภาพตลาดหมีที่ถ่องแท้ เนื่องจากตลาดหมีจะไม่ดำรงอยู่ตลาดกาล ต้องมีวันสิ้นสุด

การขายหุ้นในช่วงตลาดแพนิกมีการปรับตัวลงระดับต่ำมากๆ จะทำให้นักลงทุนเกิดความเสียหาย ในทางตรงข้าม ในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลงอย่างแรงเป็นโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่มีส่วนลด หรือราคาถูก เมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้น จะไปผลตอบแทนที่งดงาม ตามประวัติศาสตร์แล้ว ตลาดหุ้นที่ดีที่สุดเกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นตกต่ำมากที่สุด