ฮ่องกงจะสูญเสียความเป็นศูนย์กลางการเงิน?

ฮ่องกงจะสูญเสียความเป็นศูนย์กลางการเงิน?

โดย…ทนง ขันทอง

ฮ่องกงจะสามารถรักษาความเป็นศูนย์กลางการเงินได้หรือไม่ หลังจากสภาประชาชนแห่งชาติของจีนผ่านกฎหมายความมั่นคงฮ่องกงในวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ลงนามให้มีผลบังคับใช้ทันที

ผู้นำของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และนาโต้ ดาหน้าออกมาแสดงความเห็นคัดค้านกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง โดยให้เหตุผลว่ากฎหมายความมั่นคงจะทำลายพื้นฐานสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยตามหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ เพราะว่าฮ่องกงยังมีเวลาปกครองตัวเอง 50 ปี ตามข้อตกลงที่จีนมีกับอังกฤษในการส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงในปี 1997 หลังอังกฤษครอบครองอาณานิคมฮ่องกงมาเป็นเวลา 99 ปี

นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่าจะยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าที่ให้กับฮ่องกงตามกฎหมาย United States- Hong Kong Policy Act of 1994

ในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงก่อเหตุรุนแรงที่ฮ่องกงก่อนหน้านี้เพื่อต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลจีนออกอาการกร้าวว่าจะจัดการกับผู้ชุมนุมประท้วงอย่างเด็ดขาด เพราะมองว่าการประท้วงถูกต่างชาติแทรกแซง และมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงของมหาอำนาจตะวันตกที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของปักกิ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก

แต่จีนก็ไม่ได้ทำอะไรมาก คงปล่อยให้เจ้าหน้าที่ฮ่องกงจัดการกับม็อบ เนื่องจากฮ่องกงไม่มีกฎหมายความมั่นคง การเอาผิดแกนนำผู้ชุมนุมประท้วงจึงไม่สามารถกระทำได้ อย่างมากแค่คุมตัวชั่วคราว แล้วเปรียบเทียบปรับเป็นเงินไม่กี่ร้อยเหรียญฮ่องกง

ในขณะที่สถานการณ์ไม่สงบ ชาวฮ่องกงที่พอที่จะมีฐานะมีความคิดที่จะย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยไปประเทศอื่น มีบริษัทและกิจการของต่างชาติหลายแห่งวางแผนที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ออกจากฮ่องกง ในขณะเดียวกัน อังกฤษให้สัญญาว่าจะให้สัญชาติแก่ชาวฮ่องกงจำนวน 3 ล้านคน จากประชากรฮ่องกงทั้งหมด 6.7 ล้านคน ทำให้เกิดคำถามว่า ฮ่องกงจะยังคงเป็นศูนย์กลางการเงินต่อไปอีกหรือไม่ ถ้าหากว่าฮ่องกงสูญเสียการปกครองตนเอง หรืออิทธิพลของจีนเพิ่มขึ้นในฮ่องกงผ่านกฎหมายความมั่นคง

จีนให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงเป็นอันดับหนึ่ง กฎหมายความมั่นคงฮ่องกงมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ 4 ประการ คือ ป้องกันและปราบปรามการแบ่งแยกดินแดน การบ่อนทำลายอำนาจของรัฐ การก่อการร้าย และการให้ความร่วมมือกับต่างชาติในการแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกงและจีน

จะเห็นได้ว่า ขบวนการร่างกฎหมายความมั่นคงฮ่องกงเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และและผ่านความเห็นชอบของสภาจีนดำเนินไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ทั้งโลกกำลังชุลมุนกับการแก้ปัญหาไวรัสโคโรนา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ

หลังจากกฎหมายความมั่นคงมีผลบังคับใช้แล้ว ปรากฎว่า แกนนำผู้ชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกงหลายคนได้ยุติบทบาท หรือยุบองค์กร เพราะว่ากฎหมายความมั่นที่จะถูกบรรจุในกฎหมายรัฐธรรมนูญของฮ่องกง (Basic Law) มีการคาดโทษที่รุนแรง ผู้กระทำผิดจะต้องโทษถูกจำคุกอย่างน้อย10ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต

จะมีการตั้งหน่วยงานความมั่นคงในฮ่องกง โดยจะเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลฮ่องกง จะมีบุคลากรดูแลเรื่องความมั่นคงโดยเฉพาะ นางแคร์รี่ แลม ผู้นำของฮ่องกงจะมีอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลกรด้านขบวนการยุติธรรมเพื่อตัดสินคดีความมั่นคง

มองในเรื่องอนาคตของฮ่องกงไม่น่าที่จะมีปัญหามากในเรื่องการทำธุรกิจ หรือการทำธุรกรรมด้านการเงิน เพราะว่าสถาบันการเงินจีน บริษัทจีน หรือนักลงทุนจีนพร้อมที่จะเข้ามาเสียบแทนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าบริษัทต่างชาติมีการย้ายฐานปฏิบัติการ หรือสำนักงานใหญ่ออกไป

ตอนนี้มีบริษัทจีนแสดงความสนใจที่จะเข้ามาระดมทุน หรือจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มมากขึ้น รวมท้ังบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างก็ทยอยมาขอจดทะเบียนเป็นแห่งที่ 2 ในตลาดหุ้นฮ่องกง เนื่องจากกฎหมายข้อบังคับของรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีความเข้มงวดกับบริษัทจีนมากขึ้น

อนาคตของฮ่องกงภายใต้กฎหมายความมั่นคงจะทำให้ฮ่องกงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะว่าอิทธิพลของธุรกิจต่างชาติที่ไม่พอใจปักกิ่งอาจจะลดลง แต่ไม่ได้หมายความว่าฮ่องกงจะไม่มีอนาคต เพราะว่าบริษัทของจีน และนักลงทุนจีนด้วยการสนับสนุนจากปักกิ่งพร้อมที่จะเข้ามาเติมช่องว่างถ้าหากว่าต่างชาติมีการถอนธุรกิจออกไป