จีนเริ่มควบคุมการเก็งกำไรทองคำของนักลงทุนในประเทศ หลังราคาพุ่งแรง

จีนเริ่มควบคุมการเก็งกำไรทองคำของนักลงทุนในประเทศ หลังราคาพุ่งแรง

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า หน่วยงานกำกับของจีนและธนาคารใหญ่ๆ กำลังเร่งควบคุมการซื้อขายโลหะมีค่า ของนักลงทุนในประเทศ ที่เข้ามาเก็งกำไรเนื่องจากปัจจัยความกังวลซึ่งอาจจะไปกระทบต่อการซื้อขายน้ำมันในปีนี้ด้วยเช่นกัน โดยแนวทางการจำกัดความเสี่ยงเกิดขึ้นหลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนต่างตามล่าหาสินทรัพย์ที่เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยในตลาด หลังจากกังวลกับยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ทั้งยังประเมินว่ามูลค่าหุ้นเริ่มสูงเกินไปแล้ว และเงินดอลลาร์สหรัฐก็อ่อนค่า นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่แตกแยกกันมากขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนในจีนเริ่มหันมามองทองคำมากขึ้น

ธนาคารไอซีบีซี ซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ที่สุดในจีน ออกมาให้ข้อมูลเมื่อวันพุธว่า  ธนาคารเริ่มระงับการเปิดบัญชีซื้อขายใหม่ของลูกค้า เพื่อซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์โลหะมีค่า ตั้งแต่วันศุกร์ เพื่อเป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์ราคาที่ผันผวนมากและเป็นการควบคุมความเสี่ยงด้วย ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรของจีน ก็เพิ่งระงับธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เช่นเดียวกับแบงก์ ออฟ ไชน่า ที่ระงับการเปิดบัญชีใหม่สำหรับซื้อขายโลหะมีค่า

ทั้งนี้ เมื่อวันอังคาร ตลาดซื้อขายทองคำ เซี่ยงไฮ้ โกลด์ เอ็กซ์เชนจ์ ระบุว่า ราคาทองคำและเงินค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องใช้มาตรการควบคุมความเสี่ยงเพื่อปกป้องนักลงทุน ส่วนตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้า เซี่ยงไฮ้ ฟิวเจอร์ เอ็กซ์เชนจ์ ซึ่งมีการซื้อขายสัญญาทองคำและเงินล่วงหน้า ก็เรียกร้องให้สมาชิกบริหารความเสี่ยงมากขึ้นและลงทุนอย่างมีเหตุผล

“การลงทุนทองคำในจีนยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากมีช่องทางการลงทุนที่จำกัด โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะต้องซื้อขายเป็นกระดาษ ก็คือสัญญาซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ทองคำกับธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นแนวทางหนึ่งที่ใช้รับมือความเสี่ยง” Frank Hao นักวิเคราะห์ บริษัท Hywin Wealth Management ในเซี่ยงไฮ้ กล่าว

นักลงทุนจีนยังมีการซื้อขายผลตอบแทนที่อ้างอิงดัชนีราคาทองคำ หรือ Gold ETFs ในเชิงรุกอีกด้วย ซึ่งก็พบว่า มียอดหมุนเวียนซื้อขายเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

Huaan Gold ETF ซึ่งเป็นกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ระบุว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นมากกว่า 68% เป็นมากกว่า 11,800 ล้านหยวน หรือ 1,690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2019