หุ้นกลุ่ม ESG เปลี่ยนมุมมองการลงทุน

หุ้นกลุ่ม ESG เปลี่ยนมุมมองการลงทุน

โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา AFPTTM

กองทุนบัวหลวง

จากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ทำให้พิสูจน์ได้ว่า เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่สามารถสร้างผลกระทบที่รุนแรงนั้นเกิดขึ้นได้จริง โดยปัจจุบันแม้ว่ายังไม่มีบทสรุปของโควิด-19 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมโลกตอนนี้ คือ การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น  เพราะทุกคนตระหนักดีแล้วว่า หากเราไม่ใส่ใจดูแลเรื่องพวกนี้กันอย่างจริงจัง โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้ในอนาคตก็ยังเป็นไปได้เสมอ ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อการเงิน เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

ในสถานการณ์นี้เองทำให้บริษัทเอกชนต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เร่งจัดทำมาตรการเพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีมิติมากกว่าแค่ผู้ถือหุ้น โดยครอบคลุมไปถึงคู่ค้าทางธุรกิจ และลูกค้าด้วย จึงถือเป็นโอกาสในการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบ และการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยส่งต่อคุณค่าของบริษัทให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมอย่างเป็นรูปธรรม

ยกตัวอย่าง บางบริษัทที่จัดตั้งโรงงานหรือเปลี่ยนสายการผลิตเป็นหน้ากากอนามัย  หน้ากากเฟสชิว  หรือ ชุดหมี PPE  รวมถึงการดูแลสวัสดิการพนักงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย  ซึ่งเป็นการให้น้ำหนักกับการประเมินความเสี่ยงในด้านสังคม (Social) กันมากขึ้น

จากเดิมที่บริษัทมักเน้นเรื่องการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เนื่องจากภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราได้รับผลกระทบอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน  อากาศที่เป็นพิษ  หรือฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง รวมถึงด้านธรรมาภิบาล (Good Governance) ในการบริหารจัดการองค์กรให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ภายใต้กรอบคุณธรรม เพื่อให้การทำงานภายในองค์กรราบรื่น ก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง  และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้บริษัทหันมาใส่ใจด้านสังคม (Social) กันอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ หากพิจารณาในด้านของการลงทุนจะพบว่า  ตลาดการลงทุนใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG มายาวนาน จะเห็นได้ว่าในช่วงสถานการณ์โควิด-19  ผู้ลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นกลุ่มบริษัท ESG กันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่าธุรกิจที่บริหารตามแนวทาง ESG จะสามารถไปต่อไป ผลตอบแทนที่ได้รับจากกลุ่มบริษัท ESG เป็นบวกสวนทางกับหุ้นในธุรกิจอื่น

ในส่วนของของตลาดหุ้นไทยกลับพบว่า หุ้นกลุ่มบริษัท ESG  มักขึ้นลงไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็เป็นเพราะหุ้นกลุ่ม ESG ของไทยส่วนใหญ่ในตอนนี้ คือ ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก โดยในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจมีบางจังหวะหย่อนลึกลงไปอยู่หน่อยๆ แต่ก็เชื่อมั่นว่า หุ้นในกลุ่ม ESG มีแนวโน้มที่จะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยผู้ลงทุนสามารถติดตามได้จากดัชนี SETTHSI เพราะจากข้อมูลล่าสุดพบว่า  บริษัทไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส  โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของ Measuring Sustainability Discloser 2019 จาก Corporate Knights และ AVIVA ในอันดับที่ 9 และเป็นตลาดหลักทรัพย์เอเชียเพียงแห่งเดียวที่ติด 1 ใน 10  ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

อีกทั้ง ในสถานการณ์โควิด-19 ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล จะสามารถเป็นได้มากกว่าการครองผลกำไรและส่วนแบ่งทางการตลาด แต่จะสามารถครองใจคู่ค้าทางธุรกิจและลูกค้าได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

เงื่อนไขในการพิจารณาลงทุนในอนาคตแบบ New Normal นอกเหนือจากการประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับแล้ว อีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คงเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG ซึ่งกองทุนบัวหลวงก็มีกองทุนที่ชื่อว่า “กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG)”  ที่นอกจากจะเน้นเรื่อง ESG แล้วก็ยังให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอรัปชัน  โดยเพิ่ม Anti-Corruption กลายเป็น ESCG ก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกและเป็นเทรนด์การลงทุนในอนาคตที่น่าสนใจและไม่ควรมองข้าม