Fund Comment กันยายน 2563 : ภาพรวมตลาดหุ้น

Fund Comment กันยายน 2563 : ภาพรวมตลาดหุ้น

แนวโน้มการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจต่างๆ การควบคุมการแพร่ระบาด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การเลือกตั้งของสหรัฐฯจะเป็นปัจจัยเชิง Sentiment ที่ตลาดให้ความสำคัญมากขึ้นในเดือนนี้ กลยุทธ์การลงทุน ยังต้องมีความ Selective เน้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจอย่างจำกัด  และมีมูลค่าไม่แพง”

ภาพรวมตลาดหุ้น

เดือน กันยายน เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับฐานลงเป็นเดือนแรก หลังจากที่ขึ้นมาหลายเดือน  โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มเผชิญกับความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น จากการระบาดมากขึ้นของ COVID-19 ในหลายประเทศ ซึ่งทำให้ต้องเพิ่มระยะเวลาการใช้มาตรการล็อคดาวน์ออกไป ส่วนปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยังคงเดิม โดยเฟดนั้นมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานานขึ้น ในขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯที่กำลังใกล้เข้ามา ทำให้นักลงทุนขายลดความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนในระยะสั้นข้างหน้า ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลก (World MSCI Index) ปิดลดลงประมาณ 3.5% ในเดือนนี้

สำหรับเศรษฐกิจโลกนั้น ยังคงอยู่ในทิศทางการฟื้นตัว โดยมีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ทว่า ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มส่งสัญญาณว่า โมเมนตัมการฟื้นตัวในหลายประเทศเริ่มที่จะชะลอตัวลง ได้แก่ ดัชนี Composite PMI เดือนกันยายน ของสหรัฐฯและยูโรโซน ปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังปรับขึ้นมาแล้ว 4 เดือนติดต่อกัน โดยการลดลงเป็นผลมาจากภาคบริการ ในขณะที่ภาคการผลิตยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการชะลอตัวนั้น นอกจากอุปสงค์ ในช่วงแรกหลังการปลดล็อคดาวน์ (Pent-up Demand) ที่ชะลอลงตามปกติแล้ว มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มมีการขาดช่วง รวมถึงการกลับมาระบาดของ COVID-19 ในรายประเทศเริ่มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป จนเริ่มมีการกลับมาใช้มาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง กดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ดังนั้นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงต่อจากนี้ จึงยังต้องหวังพึ่งมาตรการทางการคลังจากทางภาครัฐระลอกใหม่ เพื่อประคองภาวะเศรษฐกิจให้กลับสู่ระดับปกติให้ได้เร็วขึ้น

ด้านประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯที่กำลังใกล้เข้ามาถึงนั้น ได้เพิ่มความไม่แน่นอนทางนโยบายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยหากนาย Biden ขนะการเลือกตั้งตามโพลส่วนใหญ่ ตลาดคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เข้ามาในต้นปีหน้า ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีแนวโน้มจะลดลง แต่ภาคธุรกิจอาจถูกกดดันจากนโยบายการขึ้นภาษีในหลายประเภท ขณะที่ หากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะอีกสมัย ก็จะมีความต่อเนื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่อผู้ประกอบการมากกว่า แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะยังมีอยู่คงเดิม เป็นต้น

สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนกันยายน ปรับตัวลดลง 5.6% ถูกกดดันจากภาวะตลาดหุ้นโลกจากประเด็นที่กล่าวไปข้างต้น ในขณะที่เศรษฐกิจในประเทศ แม้ว่าตัวเลขต่างๆ และความเชื่อมั่นเริ่มบ่งชี้ถึงการฟื้นตัว แต่การที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในต่างประเทศ รวมทั้งความผิดหวังต่อการวัคซีนบางตัวที่พบว่ามีผลข้างเคียงกับผู้ป่วยบางราย ทำให้กระทบต่อความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว นอกจากนี้ มีปัจจัยเพิ่มเติมจากประเด็นทางการเมือง โดยมีการชุมนุมเพื่อเรียงร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถึงจะไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ก็เป็นประเด็นที่ต้องจับตา ในเดือนตุลาคม จะเริ่มมีการพรีวิวผลประกอบการของไตรมาส 3/2020 โดยคาดการณ์กำไรของตลาดมีแนวโน้มปรับลดลงอีก จากการเปิดเศรษฐกิจรับท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ล่าช้ากว่าคาด แนวโน้มการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจต่างๆ การควบคุมการแพร่ระบาด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การเลือกตั้งของสหรัฐฯจะเป็นปัจจัยเชิง Sentiment ที่ตลาดให้ความสำคัญมากขึ้นในเดือนนี้ กลยุทธ์การลงทุน ยังต้องมีความ Selective เน้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจอย่างจำกัด  และมีมูลค่าไม่แพง