รถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตได้ต้องอาศัยการสร้างที่ชาร์จในอาคารสนับสนุน

รถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตได้ต้องอาศัยการสร้างที่ชาร์จในอาคารสนับสนุน

แมคคินซีย์ เผยแพร่บทความล่าสุดเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยชี้ว่า จะมีรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด (PHEV) รุ่นใหม่ๆ ออกมา 250 รุ่น ในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ทั่วดลกจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 130 ล้านคัน วิ่งอยู่บนถนนในปี 2030 และเพื่อสนับสนุนตัวเลขนี้ สิ่งสำคัญคือมีความจำเป็นต้องขยายที่ชาร์จ ซึ่งไม่ได้มีราคาถูกเลย โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2020-2030 จะต้องลงทุน 110,000-180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตอบสนองความต้องการในโลก ทั้งในพื้นที่สาธารณะและภายในบ้านพัก

การมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในที่พักอาศัยส่วนบุคคลกลายเป็นเรื่องธรรมดาในปัจจุบัน ส่วนสถานีชาร์จในอาคารเชิงพาณิชย์เป็นสิ่งจำเป็น กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญในการสร้างอาคารที่มีมาตรฐาน 10 ปีข้างหน้า เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ส่วนตลาดใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน มี 3 ตลาด คือ จีน ยุโรป 27 ประเทศรวมกับอังกฤษ และสหรัฐฯ ซึ่งกลไกสำคัญที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในตลาดเหล่านี้โต คือ การเพิ่มจำนวนที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในอาคารเชิงพาณิชย์ ซึ่งสิ่งจำเป็นที่ตามมาคือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าในอาคาร ต้องมีการวางแผนระบบกระจายไฟฟ้าในอาคาร ควบคู่กับโครงสร้างพื้นฐานการจ่ายไฟฟ้าในท้องถิ่นอย่างระมัดระวัง เพื่อรองรับความต้องการที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ เพื่อให้ที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย นักวางผังเมือง ผู้พัฒนาอาคาร ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า ต้องทำงานร่วมกันในการนำโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าเข้าไปอยู่ในมาตรฐานออกแบบอาคารด้วย โดยจากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าจะวิ่งได้ 150-300 ไมล์ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง ซึ่งเพียงพอกับความต้องการเดินทางด้วยรถยนต์ 95% ที่เป็นการเดินทางต่ำกว่า 30 ไมล์ นอกจากนี้คาดว่า ในจีน ยุโรป 27 ประเทศรวมอังกฤษ และสหรัฐ จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้า 180-250 เทราวัตต์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2025 และ 525-770 เทราวัตต์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2030 และเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะต้องปรับเพิ่มจุดชาร์จ โดยคาดการณ์ว่าใน 3 กลุ่มตลาดนี้จะต้องการจุดชาร์จรวมกัน 22-27 ล้านจุดชาร์จ ภายในปี 2025 และเพิ่มเป็น 55 จุดชาร์จ ภายในปี 2030