อียูต้องใช้เงิน 80,000 ล้านยูโร หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม 50 เท่าใน 10 ปี

อียูต้องใช้เงิน 80,000 ล้านยูโร หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม 50 เท่าใน 10 ปี

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า Eurelectric ออกมาเผยว่า สหภาพยุโรป (อียู) วางแผนที่จะเพิ่มการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 50 เท่า ภายในช่วง 10 ปีจากนี้ เพื่อช่วยลดมลภาวะจากก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะต้องใช้เงิน 80,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 96,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการลงทุนจุดชาร์จเพื่อสนับสนุน

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปต้องการให้มีรถยนต์ที่สร้างมลภาวะเป็นศูนย์ 30 ล้านคัน วิ่งบนถนนภายในปี 2030 ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนันสนุนการลดสร้างมลภาวะอย่างน้อย 55% ภายในทศวรรษนี้ เมื่อเทียบกับระดับที่มีในช่วงปี 1990-1999

จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป เผยว่า สิ้นปี 2019 อียูมีรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 615,000 คัน ขณะที่จำนวนจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะมีประมาณ 250,000 จุด ซึ่งต้องเพิ่มเป็น 3 ล้านจุด ภายในปี 2030 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายสีเขียว ตามรายงานของ Eurelectric สมาคมไฟฟ้าแห่งชาติ  ที่ทำร่วมกับ เอินส์ท แอนด์ ยัง หรืออีวาย

การขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จนั้น จะต้องใช้เม็ดเงิน 20,000 ล้านยูโร สำหรับจุดชาร์จสาธารณะ และ 60,000 ล้านยูโร สำหรับจุดชาร์จส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามจุดชาร์จที่มีในปัจจุบันยังต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานของอียู ระบุว่า ภายในปี 2030 อียูจะต้องมีรถยนต์ไฟฟ้า 1.05 ล้านคัน สำหรับรถยนต์ที่ดำเนินการภายใต้กลุ่มกลุ่มบริษัท และหน่วยงานสาธารณะ ขณะที่ยอดรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนนในยุโรปทุกวันนี้มี 63 ล้านคัน แต่มีเพียง 420,000 คันเท่านั้น ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า

อี-คอมเมิร์ซ ที่เติบโตอย่างมาก ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้การแข่งขันพัฒนารถตู้และรถบรรทุกไฟฟ้าสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันยังมีรถรุ่นที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อย

ทั้งนี้ Eurelectric เรียกร้องให้อียูกำหนดข้อบังคับสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ให้จำหน่ายรถยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ

ปัจจุบันที่อียูใช้มาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับรถยนต์เพื่อสนับสนุนการขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  และในปลายปีนี้จะใช้มาตรฐานที่เข้มข้นขึ้นเพื่อเร่งการเปลี่ยนมาใช้การขนส่งพลังงานสะอาด