อินโดนีเซียคาดเปิดบาหลีปลาย ก.ค. นี้ ต้อนรับต่างชาติตามแผนจับคู่เดินทาง

อินโดนีเซียคาดเปิดบาหลีปลาย ก.ค. นี้ ต้อนรับต่างชาติตามแผนจับคู่เดินทาง

อินโดนีเซียคาดการณ์พร้อมเปิดเกาะบาหลีต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปลายเดือน ก.ค. นี้ ภายใต้โครงการ Travel Corridor เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โดยเน้นแผนระยะแรกของการเปิดประเทศท่องเที่ยวแบบจับคู่เดินทาง 3B Travel Bubble ได้แก่ 3 เกาะสำคัญนำร่อง บาหลี บาตัม บินตัน กับ 6 ประเทศที่ควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน สิงคโปร์ ยูเครน และโปแลนด์

ซานเดียก้า อูโน่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย กล่าวว่า แผนดังกล่าวถูกเสนอให้คณะรัฐมนตรี หลังเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่รัฐบาลได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือน ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา และสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะบาหลี ที่ปัจจุบันมีประชากรได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 700,000 ราย โดยเรากำลังเร่งฉีดวัคซีนให้ประชากรอีกราว 3 ล้านคนหรือ 70% ของจำนวนประชากรบนเกาะบาหลีทั้งหมด 4.4 ล้านคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ภายในเดือนที่เหลือก่อนการเปิดเกาะอีกครั้ง

นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว 3 เกาะสำคัญนำร่อง บาหลี บาตัม บินตัน ต้องมีเอกสารรับรองการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งก่อนและหลังการเดินทาง รวมถึงการกำหนดให้นักท่องเที่ยวใช้แอปพลิเคชั่น Telusur ติดตามตัวและเพื่อตรวจสอบหาเชื้อเพิ่มเติมหากจำเป็น นักท่องเที่ยวทุกคนต้องปฎิบัติตามมาตรการด้านสุขภาพอย่างเข้มงวด โดยในเบื้องต้นรัฐบาลได้จัดสรรพื้นที่กรีนโซน 5 เขตนำร่อง สำหรับเปิดรับนักท่องเที่ยวในระยะแรก ได้แก่ เขตอูบุด ซานูร์ และนูซา ดัว ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเกาะบาหลี และเขตบาตัม บินตัน ของเกาะรีเยา ซึ่งถือเป็นสามเหลี่ยมทองคำเชื่อมระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยแต่ละเกาะจะรับเที่ยวบินไม่เกิน 2 เที่ยวต่อวัน ในช่วงแรกของโครงการนำร่องและให้สิทธิถือวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวไม่เกิน 60 วัน

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียจะประเมินผลทุกสองสัปดาห์ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเปิดพื้นที่บนเกาะบาหลี เพื่อรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเติมหรือไม่ในอนาคต ขณะเดียวกันหน่วยงานปกครองท้องถิ่นของบาหลีกำลังเตรียมรายชื่อโรงแรมสำหรับกักตัวโดยนักท่องเที่ยวต้องกักตัว 5 วันและต้องได้รับการตรวจหาเชื้อ (PCR Test) 2 ครั้งโดยดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตนเอง