ทำความรู้จักกับ B-SMEQ

ทำความรู้จักกับ B-SMEQ

สรุปความสัมภาษณ์

เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®

BBLAM เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดบัวหลวง Small Mid Equity หรือ B-SMEQ วันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ 2565 โดยกองทุนนี้เป็นกองทุนหุ้นไทย

ที่ผ่านมา BBLAM ห่างหายจากการออกและเสนอขายกองทุนหุ้นไทยมาพอสมควรแล้ว เนื่องจากกองทุนหุ้นไทยของ BBLAM ที่มีอยู่ค่อนข้างจะตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้ดี ค่อนข้างหลากหลายและครบในทางเลือกสำหรับผู้ลงทุน

แต่ BBLAM ก็มองเห็นโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เราจึงออกกองทุนใหม่ กองทุนเปิดบัวหลวง Small Mid Equity หรือ B-SMEQ เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเราก็มองว่า โอกาสของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีมาพร้อมกับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการ

1.โอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว

เราทราบกันดีว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมีความคล่องตัวมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ถ้าได้ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ดีๆ เป็นผู้บริหารยุคใหม่ที่พร้อมจะเปิดกว้างรับสิ่งใหม่ๆ มีการขยายกิจการ แตกไลน์สร้าง S-Curve ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกิจการได้ เราจะเจอเรื่องต่างๆ เหล่านี้ในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ด้วยขนาดขององค์กรซึ่งอาจจะปรับเปลี่ยนอะไรได้ยาก

2.เทรนด์การควบรวมกิจการ

ในยุคปัจจุบันถ้าบริษัทขนาดใหญ่ต้องการขยายไลน์ธุรกิจหรือว่าเพิ่มศักยภาพในการแตกไลน์ต่างๆ ก็จะไม่เริ่มต้นจากการค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ ทำแล้ว แต่จะใช้วิธีการที่รวดเร็วกว่านั้น คือการหาพันธมิตร ชวนกันมาร่วมมือกันเลย อาจเป็นการซื้อกิจการ จับมือเป็นพันธมิตร มีการแลกหุ้นต่างๆ ทำให้เกิดเทรนด์การควบรวมกิจการ ธุรกิจขนาดใหญ่ซื้อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพ มีโอกาสการเติบโตสูง ทำให้ราคาหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมได้ประโยชน์ ถือเป็นอีกโอกาสหนึ่งของการถือหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพ

อย่างเช่น ช่วงที่ปีที่ผ่านมาเราก็เห็นการควบรวมกิจการของ CPN ที่เข้าซื้อหุ้น SF จาก MAJOR แล้วก็ได้ทำคำเสนอซื้อหุ้น SF ในราคาเดียวกันด้วย หรือว่าการจับมือเป็นพันธมิตรกันของกลุ่ม JMART SINGER กลุ่ม VGI และเครือ BTS เป็นต้น

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโดยการจับมือเป็นพันธมิตร ซึ่งแน่นอนเมื่อมีการจับมือกัน สร้างรายได้ แลกเปลี่ยน ทำให้เกิดประโยชน์ ราคาหุ้นก็จะสะท้อนไปในทิศทางเชิงบวก ก็เป็นเทรนด์ที่เห็นกันในช่วงที่ผ่านมา

3.หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมีความหลากหลาย

หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเหมือนกับหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET50

แต่เดิมที่เราลงทุนในหุ้นไทย ถ้าเราลงทุนใน SET50 ตามทฤษฎีก็จะบอกว่าหุ้นขนาดใหญ่จะสะท้อนภาพของเศรษฐกิจ แต่สำหรับบ้านเราต้องยอมรับว่าหุ้นขนาดใหญ่กระจุกตัวอยู่ในบางกลุ่มมาก อย่างเช่น กลุ่มพลังงาน สื่อสาร ค้าปลีก ดังนั้นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนสามารถกระจายไปเลือกหุ้นที่หลากหลายได้มากกว่า ก็เป็นโอกาส เป็นปัจจัยที่สนับสนุนว่าทำไมหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจากนี้ไปจะเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ

อย่าลืมว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงส์จากเงินทุนลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาจากกระบวนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายด้วยการซื้อสินทรัพย์สภาพคล่องในระบบ หรือที่เรียกว่าการทำ QE ที่มาจากต่างประเทศ ทำให้มีเม็ดเงินที่ไหลเวียนอยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย เม็ดเงินเหล่านี้เวลาเข้ามาก็จะมีขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายเป็นหุ้นขนาดใหญ่

หลังจากกระบวนการ QE จะหยุดลง ต่อไปนี้สิ่งที่จะกำหนดราคาหุ้น เป็นเรื่องศักยภาพ ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจมากขึ้น เพราะฉะนั้นโฟกัสจึงกลับมาอยู่ที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการเติบโต ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ BBLAM เสนอขายกองทุนใหม่อีกหนึ่งกองทุน B-SMEQ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการโฟกัสในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างชัดเจน

จริงๆ BBLAM มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอยู่แล้ว แต่เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ก็คือ กองทุน B-SM-RMF ขนาดกองทุนปัจจุบันอยู่ที่ 1,400-1,500 ล้านบาท ซึ่งขนาดกองทุนไม่ได้ใหญ่มาก ซึ่งลักษณะขนาดกองทุนที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีความคล่องตัวสูงในการลงทุนและซื้อขาย ซึ่งผลประกอบการที่ผ่านมาของกองทุน B-SM-RMF ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจ

กองทุนใหม่ที่จะลงทุนก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่ตั้งเป็นกองทุนเปิดทั่วไป และไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของไทย โดยวันที่ลงทุน หุ้นตัวนั้นจะต้องมีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท

ผู้ที่สนใจกองทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอย่าง B-SMEQ สามารถซื้อช่วง IPO ได้วันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ธนาคารกรุงเทพ หรือตัวแทนการขายอื่นๆ ของ BBLAM โดยกองทุนนี้มีค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end-fee) อยู่ที่ 1.00% แต่ถ้าซื้อในช่วง IPO ค่าธรรมเนียมนี้จะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 0.50% หรือหากสนใจจะลงทุนกองทุน RMF ก็ลงทุนผ่าน B-SM-RMF ได้

อย่าลืมว่ากองทุนนี้เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย เพราะฉะนั้นผู้ลงทุนควรเป็นผู้ที่มีเงินเย็น สามารถลงทุนระยะยาวได้ และรับความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นได้

คำเตือน :

การลงทุนมิใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)

ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน