กองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี (B-TNTV)

กองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี (B-TNTV)

ภาพรวมตลาด

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือน ม.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 1 bps ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอายุ 2 ปีขึ้นไป ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ถึง 24 bps ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Fed Funds Rate) และการลดขนาดงบดุล (QT) จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อขยายตัวเหนือเป้าหมาย 2% กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ณ สิ้นเดือน ม.ค. อยู่ที่ 1.79% ปรับเพิ่มขึ้น 27 bps จากสิ้นเดือนก่อน

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.13% ปรับเพิ่มขึ้น 24 bps ด้านปัจจัยในประเทศ เศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะอันใกล้นี้มีจำกัด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ

ด้านเงินลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทยต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เป็นมูลค่าสุทธิ 69,580 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี) 37,400 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) 41,505 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้ครบกำหนดอายุ 9,323 ล้านบาท

ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการประชุมในวันที่ 25 – 26 ม.ค. 2022 ที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ (9-0) คงนโยบายการเงินไว้เช่นเดิม อย่างไรก็ดี Fed ส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นชัดเจน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ขณะที่เงินเฟ้อขยายตัวเหนือเป้าหมาย 2%

ด้านการดำเนินนโยบายการเงิน สรุปในประเด็นสำคัญได้ดังนี้

1.การลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE taper) ระบุจะสิ้นสุดเดือน มี.ค. ซึ่งค่อนข้างเป็นไปตามที่ส่วนใหญ่คาดการณ์กันไว้ แต่มีความชัดเจนขึ้นว่าจะสิ้นสุดในช่วง “ต้นเดือน มี.ค.”

2.การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไม่ได้ระบุชัดว่าจะปรับขึ้นเมื่อไหร่ โดยระบุเพียงว่าการปรับขึ้นในระยะใกล้นี้อาจมีความเหมาะสมหากภาพเศรษฐกิจเป็นไปตามที่คาดไว้ (… “soon” be appropriate to raise the target range for the federal funds rate …) โดยตลาด (สะท้อนผ่าน Fed Funds Futures) มองว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 25bps. อย่างน้อย 4 ครั้ง ในปีนี้

3.การลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Run-off) ได้เริ่มมีการพิจารณากันในที่ประชุมและมีการเปิดเผยรายละเอียดเบื้องต้น โดยจะทำผ่านการยุติการเข้าซื้อคืนตราสารหนี้ที่ครบกำหนดอายุ แต่ยังไม่ได้มีรายละเอียดชัดเจนว่าจะเริ่มต้นลดเมื่อไหร่และในอัตรามากน้อยแค่ไหน โดยระบุเพียงจะเริ่มต้นกระบวนการดังกล่าวหลังปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว (… reducing the size of the Federal Reserve’s balance sheet will “commence after the process of increasing the target range for the federal funds rate has begun” …) และจะลดในอัตราที่มีนัย (… “significantly” reducing the size …) ซึ่งตลาดตีความได้ว่าอัตราการลดจะต้องมากกว่าที่ Fed เคยทำในอดีต (Fed เริ่มต้นลดในอัตราเดือนละ USD10bn ในเดือน ต.ค. 2017 สำหรับการทำ QT ครั้งก่อน) โดยอัตราที่คาดการณ์กันในตลาดขณะนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่เดือนละ USD 40 – 60 bn

GDP สหรัฐฯประจำไตรมาส 4/2021 (Advance Estimate) ขยายตัว 6.9% QoQ saar ซึ่งสูงกว่าไตรมาสก่อนที่ 2.3% และเกินกว่าตลาดคาดการณ์ที่ 5.5% เป็นการเติบโตของ GDP ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส ทั้งปี 2021 GDP Growth ของสหรัฐฯขยายตัว 5.7% เป็นการขยายตัวมากที่สุดตั้งแต่ปี 1984

ประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 ก.พ. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการจัดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คณะกรรมการฯ มีมีมติเอกฉันท์ (7:0) ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron คาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขในวงจำกัด ความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจโดยรวมจึงลดลง แต่ยังต้องติดตามการระบาดในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงแรกของปี 2022 จากราคาพลังงานและอาหารสดบางประเภท และมีความเสี่ยงด้านสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนรายได้และกำลังซื้อที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว

อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามราคาพลังงานโลกและสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ โดยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่กับมาตรการทางการเงินการคลังที่เน้นการฟื้นฟูและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ตลาด แรงงาน รวมถึงรายได้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็ง

มุมมองด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

กองทุนบัวหลวงคาดว่า คาดว่า กนง.จะคงอัตรานโยบายการเงิน ที่ระดับ 0.5% ต่อไปตลอดปี 2022 และอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2022 โดยนโยบายการเงินควรเน้นการแก้ไขเฉพาะจุด เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน/SMEs และการกระจายสภาพคล่อง

แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทย

  • ตราสารหนี้คาดว่าให้ประโยชน์ทางด้านการกระจายความเสี่ยงลดลง ตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มผันผวนมากกว่าระดับปกติ จากความไม่แน่นอน  ทั้งทางด้านอัตราเงินเฟ้อ การคาดการณ์ของนักลงทุนเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
  • ทิศทางการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราพันธบัตรของประเทศหลัก ส่งแรงกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยปรับขึ้นเช่นกัน ขณะที่ความหวังในเรื่องการฟิ้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ส่งผลบวกต่อค่าเงินบาทและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจช่วยหนุนกระแสเงินทุนมายังตราสารหนี้ไทยในระยะสั้นนี้ได้
  • ปัจจุบันหนุนด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก ธปท. และกระแสเงินทุนต่างชาติ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนระยะสั้นปัจจุบันมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตามมองว่าพันธบัตรระยะสั้นจะมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ด้วยการคาดการณ์ถึงโอกาสที่ ธปท. จะมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า

ปัจจัยบวก/ลบต่อกองทุน

(+) กองทุน B-TNTV ยังเป็นที่พักเงินที่ดี สำหรับผู้ถือหน่วยที่ไม่ต้องการเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

(+) เป็นกองทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินเพราะลงทุนแต่ในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ในประเทศ

(+) คาดการณ์ว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี 2022 และอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 2023 ทำให้ส่งผลบวกต่อตราสารหนี้ระยะสั้น

(+) เน้นการลงทุนในหุ้นกู้ของกิจการที่มีกระแสเงินสด สภาพคล่องที่ดี ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่ต่ำ และโอกาสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือน้อย

(+) เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า/ธปท. ดำเนินนโยบายผ่อนคลาย

(+) การระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19/ความไม่แน่นอนทางการเมือง

(-) แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ

(-) อุปทานพันธบัตรมีแนวโน้มสูงขึ้นในปีงบประมาณ 2022 จากการพึ่งพาแหล่งเงินกู้จากการออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น

(-) การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่มากกว่าคาด รวมถึงการปรับลดขนาดสินทรัพย์

กลยุทธ์ในการบริหารกองทุน

กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนมุ่งหวังผลตอบแทนระยะสั้นให้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) โดยคัดเลือกการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและ เอกชนที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสมสอดคล้องกับความเสี่ยง

  • ทั้งนี้ ทีมจัดการลงทุนประมาณการว่า ผลตอบแทนมองไปข้างหน้า 1 ปี หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมน่าจะอยู่ราว 0.4 – 0.7% ต่อปี
  • Portfolio Duration (ตราสารที่กองทุนถือครองมีอายุเฉลี่ย) 0.15 ปี ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2022

ผลการดำเนินงานของกองทุน ณ วันที่ 31 มกราคม 2022

สัดส่วนการลงทุน (% ของมูลค่าทรัพย์สิน ข้อมูล ณ 31 มกราคม 2022)

Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต