ลงทุนในหุ้นไม่ยากอย่างที่คิด

ลงทุนในหุ้นไม่ยากอย่างที่คิด

By…เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®

BF Knowledge Center

การลงทุนในหุ้นไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเองโดยตรงหรือลงทุนผ่านกองทุนรวม ถือว่าเป็นวิธีสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ลงทุนได้มากที่สุดวิธีหนึ่ง โดยสิ่งที่จะทำให้ผู้ลงทุนประสบความสำเร็จนอกจาก ต้องมีการวางแผนการลงทุนที่ดี กระจายความเสี่ยงเหมาะสม และคัดเลือกลงทุนในตราสารการเงินที่มีคุณภาพแล้ว การเลือกลงทุนในช่วงเวลาที่ถูกต้องถือว่าเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดได้ แต่ในทางตรงกันข้ามการเลือกลงทุนในจังหวะที่ผิดพลาดก็สามารถทำให้การลงทุนล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน

วิธีการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดก็คือ การซื้อตอนถูก ขายตอนแพง ที่รู้กันโดยทั่วไป  แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาไหนคือช่วงที่ราคาหุ้นตกลงต่ำที่สุดให้ซื้อ และช่วงไหนราคาหุ้นสูงที่สุดให้ขาย โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างมากในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ด้วยเหตุนี้ในปีนี้และปีต่อๆ ไป การคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นจะทำได้ยากมากขึ้น มีโอกาสสูงที่นักลงทุนจะขาดทุนจากการซื้อขายผิดจังหวะได้

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีอาชีพเป็นนักเก็งกำไรในตลาดหุ้น ไม่มีเวลาใกล้ชิดตลาดเพื่อติดตามข้อมูล การเล่นจังหวะซื้อขายจะมีความเสี่ยงและมีโอกาสขาดทุนสูง การลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่ซื้อขายหุ้นและลงทุนให้จึงเป็นวิธีที่ดีกว่า ส่วนปัญหาเรื่องการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนผิดจังหวะก็สามารถลดปัญหาได้ด้วยวิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ย

วิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) ก็คือวิธีลงทุนแบบทยอยซื้อเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เช่นลงทุนทุกต้นเดือน กลางเดือน หรือปลายเดือน ในจำนวนเงินที่เท่ากัน โดยไม่สนใจว่าราคาหน่วยลงทุนของกองทุนหุ้นขณะนั้นเป็นเท่าไร วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ต้องการลงทุนระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนแต่ละครั้ง เกิดขึ้นจากแนวคิดที่ว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของราคาหุ้นได้ถูกต้องตลอดเวลา จึงไม่ควรคาดเดาทิศทางของราคา เพื่อหาจังหวะซื้อตอนที่หน่วยลงทุนมีราคาต่ำลง เพราะหากซื้อในจังหวะที่ผิดพลาดจะทำให้ต้นทุนของการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างไม่ควรจะเป็น วิธีทยอยซื้อจะทำให้ผู้ลงทุนได้ต้นทุนที่เฉลี่ยกันไป แพงบ้าง ถูกบ้าง ครั้งใดที่ซื้อในราคาสูงก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนมาก ครั้งใดซื้อในราคาต่ำก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนน้อยลง แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปผู้ลงทุนจะได้ราคาทุนเฉลี่ยที่เหมาะสมและไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ต่างๆ หากต้องการสุ่มซื้อเพียง 1-2 ครั้งในแต่ละปี

ตัวอย่างการลงทุนระยะยาวแบบถัวเฉลี่ยของกองทุนเบัวแก้ว ที่บริหารจัดการโดย บลจ.บัวหลวง ในรอบ 10 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2551 – 2560 ผลตอบแทนจากการทยอยลงทุนทุกต้นเดือน เดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 120 เดือน รวมเป็นเงินลงทุน 120,000 บาท ปรากฎว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2560 มูลค่าเงินลงทุนกลายเป็น 258,681 บาท หรือมีกำไรเกิดขึ้น 138,681 บาท ในช่วงการลงทุน 10 ปี ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และไม่ต้องเสียเวลาติดตามสภาวะตลาดที่คาดเดาได้ยาก และสร้างความกังวลใจให้ตลอดช่วง 10 ปี