BBLAM Weekly Investment Insights 3 – 6 พฤษภาคม 2022

BBLAM Weekly Investment Insights 3 – 6 พฤษภาคม 2022

Investment Strategy

หุ้นเทคโนโลยีประเภทหุ้นเติบโตที่ผ่านมาถูกเทขายออกมามาก ซึ่งมีสาเหตุจากทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่เข้มงวด แต่ถ้าตั้งใจลงทุนระยะยาว หุ้นเทคฯ ที่มีอนาคตดีบางกลุ่มอย่าง AI ราคาที่ปรับลดลงมาก็ถือเป็นข่าวดี เพราะมูลค่าที่ปรับตัวลงมาเป็นโอกาสทยอยสะสม

ถ้าจะพูดถึงกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับแนวโน้มโลกแห่งอนาคต ชื่อกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ หรือ B-FUTURE ก็ต้องติดโผนี้ด้วยแน่นอน เพราะกองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในอนาคต หรือธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับแนวโน้มการบริโภค การดำเนินธุรกิจ และเศรษฐกิจในอนาคต

กองทุน B-FUTURE ได้รับการจัดอันดับจากวารสารการเงินธนาคาร ให้เป็นกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2022 ในกลุ่มกองทุนหุ้นต่างประเทศ (Foreign Equity Fund) โดยการจัดอันดับครั้งนี้วัดผลการดำเนินงานกองทุน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2021

สัปดาห์นี้ ทาง Investment Strategist จาก BBLAM จึงมาให้มุมมองว่าถึงโอกาสลงทุนในกองทุน B-FUTURE กัน

กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นเติบโตสูง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็ถือว่า มูลค่ายังไม่แพงเกินไป  โดยปัจจุบัน B-FUTURE ลงทุนในหน่วยลงทุนของ 3 กองทุนเป็นหลัก คือ Allianz Global Artificial Intelligence, Fidelity fund – China Consumer และ Wellington FinTech Fund นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนของ BBLAM ก็สามารถคัดเลือกลงทุนหุ้นรายตัวได้ด้วย ทั้งนี้ 3 กองทุนที่ B-FUTURE ลงทุนอยู่ไว้ดังนี้

1. Allianz Global Artificial Intelligence : หุ้นเติบโตสูง ถูกเทขายพร้อมๆ กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จากเหตุผลหลักคือ แนวโน้มการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการทำกำไรของหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังคงเห็นการเติบโตดี ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI (AI infrastructure) แอปพลิเคชันที่มีเทคโนโลยี AI อยู่เบื้องหลัง (AI Application) หรือ AI ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต (AI-enabled industries) ที่ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ AI infrastructure ได้รับแรงหนุนจากความต้องการพัฒนา AI บน Cloud โดยกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ เช่น หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ ด้าน AI Application มีพัฒนาการเชิงบวกในการประยุกต์เข้ากับธุรกิจเพื่อลดต้นทุน หรือตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น ธุรกิจต่างๆ เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น ยานยนต์ สุขภาพ หรือการเงิน เป็นต้น ซึ่งเราน่าจะเห็นการนำเทคโนโลยี AI เช่น การจดจำใบหน้า (Facial Recognition) หรือยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous vehicle) มาใช้อย่างต่อเนื่อง

ผู้จัดการกองทุน Allianz Global Artificial Intelligence เชื่อว่า เทคโนโลยี AI เพิ่งอยู่ช่วงเริ่มต้นของวัฏจักร หุ้นกลุ่ม AI สามารถเติบโตได้อีก 

เมื่อไปดูหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถืออยู่ คาดว่าจะเห็นการเติบโตของกำไรในปี 2022 และ 2023 ที่ 570% และ 23% ตามลำดับ ขณะที่มีราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ปี 2022 และ ปี 2023 ที่ 41 เท่า และ 32 เท่า ตามลำดับ หากเปรียบเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีใน Nasdaq อาจจะมองได้ว่า ราคาหุ้นกลุ่ม AI ยังมีส่วนเพิ่มหรือ Premium จากตลาดหุ้นเทคโนโลยีอยู่

2.Fidelity fund – China Consumer : จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนเร่งตัวสูงขึ้น ทำให้จีนที่ดำเนินนโยบาย Zero Covid จำเป็นต้องล็อคดาวน์เมืองสำคัญๆ เช่น ในเซี่ยงไฮ้ ส่งผลให้ ในระยะสั้นๆ ภาคการบริโภคของจีนถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยตัวเลขล่าสุด ตัวเลขค้าปลีกของจีน หริอ Retail sale เดือนมีนาคม 2022 ปรับตัว -3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ -1.6% และเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2020 ยิ่งกว่านั้น ข้อมูลจาก CS ระบุว่า ภาคเทคโนโลยีจีน เช่น แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการจัดส่งสินค้าล่าช้าและความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้ขาย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อเม็ดเงินโฆษณาที่บริษัทแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ จัดเก็บได้

อย่างไรก็ตาม มุมมองต่อหุ้นจีนยังคงเป็นบวก เนื่องจากเห็นทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย รวมถึงเงินหยวนที่อ่อนลงช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งทางการจีนอาจพิจารณาคลายมาตรการล็อคดาวน์ หากมีสัญญาณตัวเลขผู้ติดเชื้อน้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้จะหนุนให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลจีนตั้งไว้ที่ 5.5%

ปัจจุบันหุ้นในพอร์ตโฟลิโอของ Fidelity fund – China Consumer ถือว่าน่าสนใจ โดยหุ้น 10 อันดับแรก มีการเติบโตในปีนี้ ถึง 50% ในขณะที่ P/E อยู่ที่ระดับ 24 เท่า ส่วนดัชนี MSCI China ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นจีน คาดว่ากำไรจะเติบโตประมาณ 14% โดย P/E ปี 2022 อยู่ที่ 14 เท่า

3. Wellington FinTech Fund : หุ้นที่เน้นการเติบโตสูงอย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีการเงิน หรือ Fintech ถูกเทขายออกมาค่อนข้างมาก สอดคล้องกับดัชนีหุ้นเทคโนโลยี Nasdaq ที่ -20% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2021 โดยในส่วนของ Wellington Fintech Fund -21% ในช่วงเดียวกัน

สำหรับ Sentiment การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ได้รับผลกระทบจากทิศทางการดำเนินนโยบายที่ตึงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังรายงานการประชุม Fed ล่าสุดออกมา บ่งชี้ว่า Fed อาจตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 0.50% พร้อมทั้งประกาศการทำ QT หรือการดึงสภาพคล่องออกจากระบบในรอบการประชุมเดือนพฤษภาคม 2022 ส่งผลให้ หุ้นเทคฯ ถูกขายออกมา ยิ่งไปกว่านั้น Sentiment การลงทุนหุ้นเติบโตยังถูกกระทบจากการรายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ๆ ที่ออกมาผิดหวังกว่าที่ตลาดคาด เช่น Netflix ที่รายงานตัวเลขจำนวนสมาชิกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี รวมถึง Guidance ที่แนวโน้มผลประกอบการในอนาคตค่อนข้างน่าผิดหวัง ทำให้เห็นแรงขายในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ทิศทางพัฒนาการของ Fintech ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และยิ่งเร่งตัวขึ้นหลังเกิดโควิด-19 ซึ่งจะทำให้บริษัท Fintech เติบโตได้ในระยะยาว โดยข้อมูลจาก PWC ระบุว่า จำนวนการทำธุรกรรมแบบไม่ใช้เงินสด (Cashless) ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 1 ล้านล้านครั้ง ในปี 2020 ขึ้นเป็น เกือบ 2 ล้านล้านครั้ง ในปี 2030

ปัจจุบัน ราคาหุ้น Fintech ในพอร์ตโฟลิโอ วัดจากหุ้น 10 อันดับแรกของกองทุนนี้ ดูสมเหตุสมผลเทียบกับตลาดหุ้นเทคฯ โดยรวม โดยปี 2022 และปี 2023 จะมีการเติบโตของกำไร (Earnings growth) 79% และ 30% ตามลำดับ ขณะที่ P/E ของกองทุนอยู่ที่ 30.7 เท่า ในปี 2022 และ 23.5 เท่า ในปี 2023

แนะนำกองทุน B-FUTURE และถ้าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำกองทุน B-FUTURERMF และ B-FUTURESSF

อ่าน BBLAM Weekly Investment Insights 3 – 6 พฤษภาคม 2022 ฉบับเต็มได้ที่

https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/3-6-2022