SUPEREIF เตรียมจ่ายปันผลครั้งที่ 12 ในอัตรา 0.13498 บาทต่อหน่วย วันที่ 13 ธันวาคม 2565 นี้ 

SUPEREIF เตรียมจ่ายปันผลครั้งที่ 12 ในอัตรา 0.13498 บาทต่อหน่วย วันที่ 13 ธันวาคม 2565 นี้ 

นายพรชลิต  พลอยกระจ่าง  รองกรรมการผู้จัดการ  Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) จะจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 12 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 หรือระหว่างวันที่  1  กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.13498 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565   และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 13 ธันวาคม 2565  

เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน  จนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งล่าสุด SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 12 ครั้ง คิดเป็นเงิน  2.45623 บาทต่อหน่วย   และจ่ายเงินคืนทุนไป  2  ครั้ง  คิดเป็นเงิน  0.180 บาทต่อหน่วย  รวมเป็นเงินปันผลและเงินคืนทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 2.63623 บาทต่อหน่วย

สำหรับสรุปผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี  2565  พบว่า  มีรายได้รวมเท่ากับ  612.3 ล้านบาท ลดลง 4.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน   ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิอยู่ที่  487.2 ล้านบาท ลดลง 3.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับอัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกปี  2565 เท่ากับ 79.6%  เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 79.0%

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2565 นั้น กองทุน SUPEREIF มีรายได้ลดลง 5.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 21.3% จากไตรมาสก่อน เป็น 170.2 ล้านบาท

ส่วนรายได้จากการลงทุนสุทธิลดลง 5.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 26.1% จากไตรมาสก่อนเป็น 128.7 ล้านบาท  อย่างไรก็ดี  อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ สำหรับไตรมาส 3 ปี 2565 เท่ากับ 75.6% เทียบกับ 75.4% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ 80.5% ในไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ  ปราจีนบุรี  สระแก้ว  พิจิตร   และเพชรบูรณ์    โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์

ขณะที่ ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ  เริ่มตั้งแต่วันที่  14 สิงหาคม 2562  จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

BBLAM

14 พฤศจิกายน 2565