กองทุน B-SENIOR, B-SENIOR-X, B-INCOME และ B-INCOMESSF Q4/2022

กองทุน B-SENIOR, B-SENIOR-X, B-INCOME และ B-INCOMESSF Q4/2022

กองทุนผสมบีซีเนียร์สาหรับวัยเกษียณ (B-SENIOR) , กองทุนผสมบีซีเนียร์สาหรับวัยเกษียณ เอ็กซ์ตร้า (B-SENIOR-X), กองทุนเปิดบัวหลวงอินคัม (B-INCOME) และ กองทุนเปิดบัวหลวงอินคัมเพื่อการออม (B-INCOMESSF)

ตราสารหนี้
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเส้น โดยส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 7-14 bps ยกเว้นช่วงอายุคงเหลือ 2-3 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1-4 bps และนับตั้งแต่ต้นปี พบว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มมาแล้วประมาณ 125-150 bps สำหรับช่วงอายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกผันผวนตามทิศทางของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นแรง จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยหลักให้ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะหลังการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ครั้งละ 75 bps ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง
• นอกจากนี้ หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดที่ออกมาช่วงกลางเดือนตุลาคม ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด และตัวเลข Core CPI ออกมาสุงสุดในรอบ 40 ปี ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 10 ปี ปรับขึ้นไปเลยระดับ 4.50% สูงสุดในรอบ 15 ปี ขณะเดียวกัน รุ่นอายุ 10 ปี ก็ปรับขึ้นไปเหนือระดับ 4.00% สูงสุดในรอบกว่า 10ปี อีกทั้งตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง และวันที่ 2-3 พฤศจิกายน FOMC มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 75 bps สู่ระดับ 3.75-4.00% ตามคาด โดยนับเป็นการปรับขึ้นอัตราสูงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 โดยให้เหตุผลว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวในระดับปานกลาง ภาวะตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงเงินเฟ้อยังคงเป็นสิ่งที่ Fed ให้ความสาคัญอย่างมาก
• แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะต่อไป คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นยังจะปรับตัวตามการดาเนินนโยบายการเงินของ กนง. เป็นหลัก โดย กนง. ยังคงยืนยันการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังมีความผันผวนสูงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวซึ่งมีปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในแต่ละช่วง คือ ความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและความกังวลถึงแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอนาคตข้างหน้า


ตราสารทุน
• ตลาดหุ้นโลกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ 6.4% ในเดือนตุลาคม หลังจากปรับตัวลดลงในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า หรือ ลดลงจากจุดสูงสุดช่วงต้นปีมาราว 27.0% โดยความเข้มงวดทางการเงินโลกที่เร่งตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนผ่าน Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี ที่ปรับขึ้นมาที่ระดับ 4.0% และ Real Yield ที่ปรับขึ้นมาเป็นบวกในเกือบทุกช่วงอายุนั้น เริ่มส่งผลกระทบมากขึ้น ทั้งต่อภาคเศรษฐกิจจริงและสภาพคล่องในตลาดการเงิน ทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ถึงสัญญาณนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง ลดความกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.0% และ Euro Stoxx 50 ปรับเพิ่มขึ้น 9.0% ในเดือนตุลาคม ในระยะข้างหน้า ทิศทางนโยบายการเงิน และโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับแนวโน้มการลงทุน
• เศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงในวงกว้างมากขึ้น อาจช่วยจำกัดการขึ้นของ Bond Yield ระยะยาวของสหรัฐฯ และนามาซึ่งการเข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรของดอกเบี้ยขาขึ้นได้ ขณะที่ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจถูกปรับคาดการณ์ลง และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับ Higher for Longer จะยังคงเป็นปัจจัยกดดัน Upside ของตลาดหุ้นในระยะข้างหน้า
• ด้านตลาดหุ้นไทย ปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก ในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.2% รวมตั้งแต่ต้นปีปรับลดลงเพียง 2.9% เทียบกับตลาดหุ้นโลกที่ยังอยู่ระดับ Bear Market ที่ -22.0%

• เศรษฐกิจไทยยังคงได้แรงหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนนี้ นักลงทุนต่างชาติ สลับมาเป็นซื้อสุทธิ ที่ 8.7 พันล้านบาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ และรวมตั้งแต่ต้นปียังคงเป็นยอดซื้อสุทธิสูงถึงเกือบราว 1.6 แสนล้านบาท ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มอยู่ในโหมดของการฟื้นตัว โดยสภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ปี 2566 เติบโต 3.7% เทียบกับเศรษฐกิจโลกที่ IMF คาดการณ์ล่าสุดที่ 2.7% ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งจากรายได้ที่ฟื้นตัวและอัตรากาไรที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากปัจจัยมหภาคที่ชะลอตัวลงน้อยกว่า
• กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว


สินทรัพย์ทางเลือก
• กาไรของกลุ่ม REITs มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดย REITs ของไทยในครึ่งแรกของปี 2565 มี EPS เติบโต 17% yoy และคาดว่าน่าจะปรับตัวเพิ่มขี้นในครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม ราคาของกลุ่ม REITs ยังถูกแรงกดดันจากมุมมมองของการขึ้นดอกเบี้ยของ FED และ ธปท. อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตและเป็นแหล่งกระแสเงินสดที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันอัตราเงินปันผลคาดการณ์อยู่ที่ระดับ 6.5% ในปี 2022 ในขณะที่ส่วนต่างเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย อยู่ในระดับเท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต (ประมาณ +/- 3% เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี)
• แรงขายจากนักลงทุนที่เป็น ETF ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาทองคำยังคงอยู่ที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐและการคาดการณ์ในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED อีกทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้นจะทำให้นักลงทุนยังคงต้องการถือครองทองคำเพื่อใช้กระจายความเสี่ยง รวมถึงการเข้าสู่ High Season ของทองคำในช่วงสิ้นปีถึงต้นปี ซึ่งอาจทำให้การปรับตัวลงของราคาทองคาเป็นไปอย่างจำกัดได้ โดยคาดการณ์ทองคำเคลื่อนไหวในระยะสั้นในระดับประมาณ 1,550 – 1,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์


พอร์ตการลงทุนไตรมาสที่ผ่านมา
B-SENIOR : ในส่วนตราสารหนี้ กองทุนลดน้าหนักพันธบัตรระยะกลางถึงยาว โดยเพิ่มสัดส่วนพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 3 ปี และเพิ่มน้าหนักหุ้นกู้อายุไม่เกิน 3 ปี โดยลดสัดส่วนหุ้นกู้ระยะกลาง อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนในส่วนของหุ้น กองทุนลดสัดส่วนในหุ้นกลุ่มอาหาร โรงพยาบาล ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่เพิ่มน้าหนักในหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มเดินทางขนส่ง นอกจานี้ กองทุนยังได้เพิ่มน้าหนักในกองทุนอสังหาริมทรัพย์กลุ่มเดินทางขนส่ง และลดสัดส่วนกลุ่มโรงแรม
B-SENIOR-X :
• ในส่วนตราสารหนี้ กองทุนลดน้าหนักพันธบัตรระยะกลางถึงยาว โดยเพิ่มสัดส่วนพันธบัตรระยะสั้น โดยเน้นอายุไม่เกิน 1 ปี และเพิ่มน้าหนักหุ้นกู้ โดยเน้นในอายุไม่เกิน 3 ปี กองทุนยังได้ลดสัดส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั้ง Global Bond และ Short Duration Dond อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
• ในส่วนของหุ้นในประเทศ กองทุนเพิ่มสัดส่วนในหุ้นกลุ่มพลังงาน อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง สาหรับหุ้นต่างประเทศ กองทุนลดน้ำหนักในหุ้นสื่อสารอินโดนีเชีย หุ้นอาหารเวียดนาม และหุ้นเทคโนโลยีของฮ่องกง โดยเพิ่มสัดส่วนหุ้นอุตสาหกรรมเหล็ก ขนส่ง ธนาคารในเวียดนาม และ สนามบินในจีน
• สาหรับ Property Fund/REITs/Infrastructure Fund กองทุนได้เพิ่มน้ำหนักในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มเดินทางขนส่ง

B-INCOME :
• ในส่วนตราสารหนี้ เงินฝากต่างประเทศลดลงเพราะครบอายุ กองทุนลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ระยะกลางถึงยาว โดยเพิ่มพันธบัตรอายุไม่เกิน 1 ปี และเพิ่มหุ้นกู้อายุ 3-5 ปี กองทุนยังได้ลดสัดส่วนกองทุน Global Bond กองทุน Emerging Market Bond และ Asian bond อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน
• ในส่วนตราสารทุน กองทุนได้ลดน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง พลังงาน และลงทุนเพิ่มในหุ้นกลุ่มอาหาร สื่อสาร และปิโตรเคมี ส่วนหุ้นต่างประเทศ ลดน้ำหนักหุ้นกลุ่ม E-Commerce / Online Gaming
• สำหรับ Property Fund/REITs/Infrastructure Fund กองทุนได้ลดน้ำหนักในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มโทรคมนาคมและกองทุนอสังหาริมทรัพย์กลุ่มโรงแรม โดยเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มเดินทางขนส่ง

Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจากการใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุน RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต