BBLAM Weekly Investment Insights 26-30 ธันวาคม 2022

BBLAM Weekly Investment Insights 26-30 ธันวาคม 2022

2022 – Opportunities are never lost

INVESTMENT STRATEGY

By BBLAM

คุณมทินา วัชรวราทร CFA, Head of Investment Strategy, BBLAM มาตอบคำถาม 4 เรื่องในปีนี้ แต่ถือเป็นการเปิดมุมมองข้ามไปปีหน้า มีเรื่องอะไรบ้างมาดูกัน

เรื่องแรก: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

Q : ไทม์ไลน์เศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในปีหน้าที่ควรจับตา และมีผลต่อทิศทางการลงทุน

A : BBLAM ยังคงมองว่า การประชุมเฟดในทุกครั้งยังเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุน แต่หากเฟดส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือหยุดขึ้นดอกเบี้ย ปัจจัยที่จะเข้ามามีผลต่อตลาดหุ้น คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาแต่ละไตรมาส ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่าเศรษฐกิจชะลอตัวมากแค่ไหน

Q : การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปีหน้ามีโอกาสรีบาวด์ หรือหลุดพ้นจากตลาดหมีได้หรือไม่

A : BBLAM มองว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดสหรัฐฯเป็น Bear market rally เนื่องจากปี 2023 ตลาดสหรัฐฯ ยังต้องเผชิญความท้าท้ายในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งแม้กระทั่งเฟดเองก็ยังส่งสัญญาณไม่ชัดว่าอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไปอยู่ในระดับสูงมากแค่ไหน และเรื่องเศรษฐกิจถดถอยที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน

หากเรามองตลาดสหรัฐฯผ่านสององค์ประกอบคือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS) และมูลค่าของตลาด P/E จะเห็นว่า EPS ในปีหน้ามีโอกาสปรับลดลงได้อีกหากมีเศรษฐกิจถดถอย และ P/E ของตลาดไม่ควรอยู่ในระดับที่สูงจนเกินไปในสภาวะที่ดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อสูง และสภาพคล่องถูกดึงกลับ BBLAM มองว่า P/E ของตลาดมีโอกาสถูกปรับลง ดังนั้นปี 2023 ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงมีความเสี่ยงขาลงในครึ่งแรกของปี

Q : จังหวะลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ตรงไหน อะไรเป็นสัญญาณบ่งชี้สำคัญว่า ตลาดกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้น

A: ในด้านภาพใหญ่ ได้แก่ เศรษฐกิจมหภาค สัญญาณจากตลาดอื่น ๆ สามารถเป็นตัวบ่งชี้ได้ ได้แก่

  • หากตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มผันผวนน้อยลงก็จะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้น อย่างเช่นที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าการที่ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้น สร้างแรงกดดันให้กับค่าเงินประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อย่างเช่น ญี่ปุ่น หรือ ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่น เวียดนาม หากค่าเงินดอลลาร์เริ่มมีเสถียรภาพ หรือไม่ปรับขึ้นต่อ ก็เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้น
  • ตลาดพันธบัตรก็เป็นสัญญาณบ่งบอกได้เช่นกัน เพราะหากค่าความผันผวนของราคาในตลาดพันธบัตร (MOVE) เริ่มผันผวนน้อยลง ก็เป็นสัญญาณที่ดี หรือ หากพันธบัตรรัฐบาลสิบปีเริ่มผันผวนน้อยลง เช่น ไม่ปรับเพิ่มขึ้นสูง ๆ จากความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อ หรือไม่ปรับตัวลงแรง ๆ จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดหุ้นได้
  • ในด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นที่แท้จริง แต่อาจจะไม่ใช่สัญญาณ timing จุดต่ำสุดของตลาดได้ดีนัก เนื่องจาก ในอดีตจะเห็นว่ามีโอกาสว่าในขณะที่นักวิเคราะห์ยังคงปรับประมาณการณ์กำไรของบริษัทลง ตลาดสามารถกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ก่อนที่การปรับประมาณการณ์จะจบลง

หากดูจากอดีต สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ตลาดกลับเป็นขาขึ้นได้ คือ การลดดอกเบี้ยของเฟด ดังนั้น เราจึงยังคงจำเป็นต้องจับตามองเงินเฟ้อ ตัวเลขการว่างงานจนกว่าเฟดจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ย หากเฟดลดดอกเบี้ยและไม่มีเศรษฐกิจถดถอยตามมา ตลาดจะกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ แต่หากเฟดลดดอกเบี้ย เพราะเกิดเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นจะยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ทันที

Q : ความเสี่ยงสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีหน้ามีอะไรบ้าง

A : ความเสี่ยงยังคงเป็นเรื่องของ

  • เงินเฟ้อที่ BBLAM เองก็ไม่แน่ใจว่า จะเห็นการปรับลดลงมาอย่างรวดเร็วหรือไม่ โดยเฉพาะ Core Inflation โดยหลังจากที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว Core Inflation ยังไม่ได้ปรับลงมาอย่างมีนัยะสำคัญ
  • เศรษฐกิจถดถอย Base case ของ BBLAM ที่มองว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยขึ้นเพื่อเอาเงินเฟ้อให้ลงมา แต่จะเป็นเศรษฐกิจถดถอยที่ไม่ลึกและไม่นาน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คาดเดาไม่ได้คือ เราไม่ทราบว่า เศรษฐกิจถดถอยจะส่งผลมากน้อยแค่ไหน หรือไม่ทราบว่าจะมีการผิดนัดชำระหนี้ใหญ่ ๆ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกหรือไม่

Q : หุ้นกลุ่มไหนที่น่าลงทุนและที่ควรหลีกเลี่ยง

A : ปี 2023 BBLAM ยังคงมุมมองระมัดระวังในหุ้นสหรัฐฯ และยังคงแนะนำการลงทุนใน sector ที่ถือว่าปลอดภัย ผันผวนน้อย และมีความสามารถในการปรับราคาขึ้นพร้อมเงินเฟ้อได้ BBLAM แนะนำกองทุน Healthcare อย่างเช่น B-CARE และกองทุนประเภทโครงสร้างพื้นฐานเช่น B-GLOB-INFRA

Q : คำแนะนำการลงทุน ควรมีหุ้นในสหรัฐฯติดพอร์ตเท่าไร

A : BBLAM มองว่าควรมีหุ้นสหรัฐฯอย่างน้อย 50% ของพอร์ต อย่างไรก็ตามใน 50% นี้ควรเลือกกระจายไปในหลาย ๆ sector โดยอาจจะให้น้ำหนักหุ้นประเภท value มากกว่าหุ้น growth และให้น้ำหนักหุ้นประเภท defensive มากกว่าหุ้นเติบโตสูงๆ

เรื่องที่สอง : ตลาดหุ้นจีน

Q : มองว่า ปีหน้ายังมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นได้หรือไม่ หรือจะหลุดพ้นจากภาวะตลาดหมีได้หรือไม่

A : จีนอยู่ในตลาดหมีมากกว่า 600 วันแล้ว เป็นหนึ่งในตลาดหมีที่ยาวนาน และเป็นการปรับตัวลงของราคาที่ถือว่าลึกมากที่สุดครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมา มีปัจจัยทั้งเรื่องมาตรการอสังหาริมทรัพย์ เรื่องเทคโนโลยี และเรื่อง Zero Covid ที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนไม่สามารถปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ หากปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น BBLAM มองว่าหุ้นจีนจะสามารถปรับตัวเป็นขาขึ้นและให้ผลตอบแทนที่ดีได้ เนื่องจากมูลค่าไม่แพง และการผ่อนคลาย Zero Covid จะส่งผลบวกต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนอย่างมาก

Q : จังหวะการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่ตรงไหน อะไรเป็นสัญญาณบ่งชี้สำคัญว่า ตลาดกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้นได้

A : มาตรการเรื่อง Zero Covid จะเป็นสัญญาณบ่งชี้สำคัญที่ทำให้ตลาดกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ เนื่องจากนโยบาย Zero Covid ที่ผ่านมาเป็นเหมือนตัวบล็อกทั้งภาคการผลิต การบริโภค และการบริการ หากมาตรการเป็นไปในทิศทางเปิดประเทศ BBLAM มองว่าหุ้นจีนจะสามารถกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ บวกกับจีนยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือใช้เครื่องมือนโยบายการเงินได้อีก

Q : ความเสี่ยงสำคัญของตลาดหุ้นจีน ในปีหน้ามีอะไรบ้าง

A : ยังคงเป็นเรื่องนโยบาย Zero Covid ที่จะมีการกลับลำหรือไม่ หากจีนไม่เปิดประเทศ จะมีผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมาก และอีกเรื่องคือ Geopolitical risk ที่ BBLAM มองว่า จะเข้มข้นขึ้นเมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2024

Q : สำหรับผู้สนใจลงทุนในหุ้นจีนระหว่าง A-share กับ H-share อันไหนน่าสนใจกว่ากัน

A : อันนี้ BBLAM มองแบ่งเป็น 2 มุม ได้แก่

  • ในเรื่องมูลค่า หุ้น H-Shares มีความน่าสนใจมากกว่า A-Shares แต่ก็มีความผันผวนมากกว่าเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
  • หุ้น A-Shares น่าสนใจในแง่ว่ามีบริษัทที่ผลิตสินค้าและบริการที่เป็น real sector ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น Semiconductor, พลังงานสะอาด หรือพวกอุตสาหกรรมการผลิต

Q : หุ้นกลุ่มไหนที่น่าลงทุนและควรหลีกเลี่ยง

A : หุ้นจีนที่น่าสนใจ มีดังนี้

  • บริษัทที่ล้อไปกับนโยบายของภาครัฐ เช่นการผลิต semiconductor ทั้งสายการผลิต หรือบริษัทพลังงานสะอาด
  • บริษัทที่ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของชนชั้นกลาง คนจีนนิยมที่จะผลิตสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น เช่น แบรนด์เครื่องสำอาง รองเท้า เสื้อผ้ากีฬา
  • บริษัทที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนของจีน การที่จีนส่งเสริมการลงทุนโดยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็น Bond Connect, Swap Connect, Stock Connect เป็นการช่วยหนุนเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดทุนจีน

สำหรับ Sector ที่ยังคงหลีกเลี่ยงจะเป็นพวกภาคธนาคาร ที่อาจจะต้องช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือทำตามนโยบายของภาครัฐในการปล่อยกู้ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์

Q : คำแนะนำการลงทุนควรมีหุ้นจีนติดพอร์ตเท่าไร

A : BBLAM มองว่าควรมีหุ้นจีนอย่างน้อย 10-15% ของพอร์ต และควรกระจายไปยังหลากหลายตลาด และหลากหลาย Sector

เรื่องที่สาม : จัดพอร์ตลงทุน

Q : ภาพการลงทุนตลาดโลกปีหน้าเป็นอย่างไร โอกาสลงทุนอยู่ที่ตลาดไหน เพราะสาเหตุใด

A : ภาพการลงทุนในประเทศตะวันตกจะไม่ค่อยสดใส เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ ยุโรป มีความเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงทำให้ธนาคารของทั้งสองที่ยังคงต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดอยู่มาก ในขณะที่ฝั่งเอเชียรวมทั้งญี่ปุ่น จะได้รับอานิสงค์จากการเปิดเมือง การท่องเที่ยว การบริโภค รวมถึงเงินเฟ้อที่ไม่สูง สามารถควบคุมได้ ธนาคารกลางในเอเชียขึ้นดอกเบี้ยไปล่วงหน้าเฟด ทำให้ลดแรงกดดันที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ๆ แรง ๆ เศรษฐกิจในเอเชียยังคงขยายตัวดี และนโยบาย Zero Covid เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อง ๆ ภาพการลงทุนในเอเชีย และจีนจะสดใสมากยิ่งขึ้น

สำหรับภาพเศรษฐกิจมหภาคในเรื่อง Peak dollar, Peak yield ยิ่งเป็นตัวสนับสนุนการลงทุนในเอเชีย และด้วยมูลค่าที่ไม่แพง ทำให้ BBLAM แนะนำว่าถึงเวลาสะสมหุ้นเอเชีย

Q : ตลาดพันธบัตรปีหน้า ยังลงทุนได้อยู่หรือไม่

A : ในปี 2023 BBLAM มองเห็นโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์ประเภท ตราสารหนี้สหรัฐฯ โดยเฉพาะตราสารหนี้สหรัฐฯที่คุณภาพสูง โดยมีปัจจัยหนุน ได้แก่

  • แรงกดดันต่อดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มลดลง ด้วยเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวลง ก็ทำให้ ดอกเบี้ยนโยบายอาจชะลอตัวลงได้ (ตลาดมอง Fed Fund Rate ที่ระดับประมาณ 5-5.25%)
  • โอกาสของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง หรือเข้าสู่ภาวะถดถอย จะหนุนสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง พันธบัตรรัฐบาล และ
  • Valuation ของพันธบัตรอยู่ในระดับที่น่าสนใจ อย่าง พันฐบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ให้ผลตอบแทน ระดับ 3.5%-4% ซึ่งขึ้นจากระดับต้นปีที่ 1.5% และยังมากกว่าเงินปันผลให้หุ้นหลาย ๆ ตัว

Q : ประเมินการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างไร เช่น ทองคำ อสังหาฯ คริปโท

A : BBLAM มองว่าทองคำน่าสนใจ จากการอ่อนลงของค่าเงินดอลลาร์ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงแล้ว เรามองว่าความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และความขัดแย้งเรื่องภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นตัวหนุนราคาทองในปี 2023

เรื่องที่สี่ : Luxury Brand

Q : BBLAM มองการลงทุนใน Luxury brand อย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา กระเป๋า ตลาดนี้มีความน่าสนใจอย่างไร

A : ตลาดน่าสนใจ เพราะบริษัทในกลุ่มนี้มีป้อมปราการทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ได้แก่

  • Consumer loyalty ที่สูง ไม่ค่อยเปลี่ยน Brand
  • คู่แข่งรายใหม่ ๆ เข้ามาแข่งในตลาดได้ค่อนข้างยาก (High Barrier to Entry)
  • บริษัทสามารถกำหนดราคาขายได้เอง (High Pricing Power)
  • มีการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) โดยได้แรงหนุนจาก ประชากรที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น  
  • แสดงสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง (Displays of Wealth)

ด้วยปัจจัยหนุนต่างๆ จึงทำให้บริษัทเหล่านี้ สามารถสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นได้อย่างดี

Q : ที่ผ่านมามีความต้องการลงทุนมากน้อยเพียงใด

A : ข้อมูลจาก Bain and Company ระบุว่าโดยเฉลี่ยการเติบโตของสินค้า Luxury (Personal Luxury Goods) เฉลี่ย นับจากปี 1996 – 2019 อยู่ที่ 6% ต่อปี โดยได้แรงหนุนจากความต้องการสินค้า Luxury จากจีนเป็นสำคัญ

Q : การเติบโตของตลาดในช่วงวิกฤติและมุมมองในอนาคต

A : จากข้อมูลจาก Bain and Company ในช่วงวิกฤติ เช่น Covid-19 การซื้อสินค้า Luxury ปรับลดลง 22% หรือในช่วง Subprime Crisis การซื้อสินค้า Luxury มีการปรับตัวลดลง 8% เรามองว่า ปีหน้า หากเกิดเศรษฐกิจถดถอย การเติบโตของตลาดย่อมได้รับผลกระทบบ้าง แต่ในระยะยาว กลุ่มนี้จะยังมีโอกาสเติบโตได้

BBLAM แนะนำกองทุน

กองทุนสู้เงินเฟ้อ : B-GLOB-INFRA และกองทุนที่นำไปลดหย่อนภาษีได้ ได้แก่ B-GLOB-INFRARMF และ B-GLOB-INFRASSF

อยากกระจายลงทุนมากขึ้นและยังได้ลงทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นเอเชีย : B-ASIA หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-ASIARMF และ B-ASIASSF

กองทุนหุ้นจีน : B-CHINE-EQ หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-CHINAARMF และ B-CHINESSF

กองทุนต่างประเทศธีมนวัตกรรมและเป็นหุ้น Defensive ได้แก่ BCARE  และกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ BCARERMF และ BCARESSF

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/26-30-2022-1