Innovating Thailand “Speed up…Speed up และ Speed up”

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดมุมมองไว้ในงาน “เศรษฐกิจคิดใหม่” BOT Symposium 2017 : Innovating Thailand ไว้ว่า “พลังของเทคโนโลยีทุกวันนี้รุนแรงมาก” เป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาสในเวลาเดียวกัน

เทคโนโลยีกำลังทำให้สิ่งที่เราเคยได้รายได้บางอย่างหายไป แต่ก็กำลังสร้างโอกาสในอีกด้านที่สำคัญเป็นแบบก้าวกระโดด เป้าหมายใหม่ต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่าจะไม่มีการขาดแคลนสินค้าต่างๆ อีกต่อไป เพราะการผลิตใช้ระบบอัตโนมัติ ทำให้ต้นทุนถูกลง ทำให้ประเทศไทยจึงต้องปรับตัวจากอุตสาหกรรมการผลิตแบบเดิมไปสู่แบบใหม่ ที่เครื่องจักรทดแทนไม่ได้ คือเป็นการผลิตงานฝีมือ เป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะส่วนบุคคลมากขึ้น ทำในสิ่งที่คอมพิวเตอร์จะมาทดแทนไม่ได้

และยังมีโอกาสตามมาในด้านการท่องเที่ยว เพราะเมื่อเทคโนโลยีมาทำแทนคนในหลายด้าน คนมีเวลาและมีเงินมากขึ้น คนก็อยากไปเที่ยว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะเป็นอนาคตของประเทศไทยได้

“เมื่อวัตถุเป็นของที่หาง่าย คุณค่าทางจิตใจจะเป็นของที่สำคัญมากขึ้น การบริการเฉพาะบุคคลที่ผนวกกับบริการประเภทนี้จะเป็นทางออกของประเทศไทย แต่ต้องวางตำแหน่งทางธุรกิจและพัฒนาโมเดลธุรกิจของประเทศให้ชัดเจน”

ขณะที่จุดอ่อนของอีโคซิสเต็มในไทยที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาที่ไม่เชื่อมต่อกับภาคอุตสาหกรรม

 

“มหาวิทยาลัยในไทยมีปัญหาที่สปีดช้ามากและไร้จุดหมายว่าจะเอางานวิจัยไปทำอะไร ขณะที่ในยุคที่เทคโนโลยี สปีดเป็นเรื่องสำคัญมาก ฉะนั้นมหาวิทยาลัยต้องเกาะไปกับคนที่เร็วกว่าและคนที่รู้ทิศทาง คือภาคเอกชนในประเทศที่รู้ว่าจะเอานวัตกรรมไปผลิตสินค้าและบริการอะไร และองค์กรหรือมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่พัฒนาระบบนวัตกรรมมีความชัดเจน ระบบลงตัวและรู้ทิศทางของตนเอง”

ตัวอย่างบริษัทโลกที่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว อย่างฮาร์ดดิสก์หรือรถยนต์ แต่มีความเชื่อมโยงกับระบบนวัตกรรมในไทยน้อยมาก ทั้งที่มีงบฯ ทำวิจัยสูง อย่างบริษัทซีเกทจ้างงานคนไทยหลายหมื่นคน แต่ละปีลงทุนวิจัยพันกว่าล้านบาท และจดสิทธิบัตรหลายสิบสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกา แต่ทำวิจัยกับมหาวิทยาลัยในไทยเพียง 30 ล้านบาท เพราะไม่มีมหาวิทยาลัยไหนไปคุยกับเขาแล้วรู้เรื่องหรืออยากทำงานร่วมด้วย

“มหาวิทยาลัยอยู่ในโลกของตัวเองที่เป็นคอมฟอร์ตโซน ไม่รับโจทย์อันท้าทายของภาคเอกชนไปวิจัย นี่คือจุดบอดของระบบนวัตกรรมของประเทศไทย ดังนั้นต้องปรับไฟแนนซิ่งโมเดลของสถาบันวิจัยภาครัฐและมหาวิทยาลัย ให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกับภาคการผลิต”

จำเป็นต้องเพิ่มงบวิจัย จะต้องลงทุน 2% ถึง 3% ของจีดีพีต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษกว่าจะเกิดดอกเกิดผล แต่ไทยลงทุนแบบมีร้อยใส่สลึงเดียว ก็คือ 0.25% ของจีดีพี แล้วจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างไร

แม้ว่าภาครัฐจะอ่อนแอ ภาคราชการจะเสื่อมความสามารถลงทุกวัน แต่ที่ทำได้คือ ภาครัฐถอยออกจากการเป็นอุปสรรคของการสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมในทุกๆ ด้าน “โดยให้จัดสรรทรัพยากรสมทบกับภาคเอกชนกับภาคสังคมที่มีโจทย์ชัดเจนให้เขาทำงานได้ เช่น แมตชิ่งฟันด์ รัฐเข้าไปสมทบ 1 เท่า 2 เท่าก็แล้วแต่”

ส่วนมาตรการภาษีที่ใช้เป็นหลักให้ลดหย่อนได้ คนที่จะได้ประโยชน์กลับเป็นบริษัทขนาดใหญ่ การศึกษาของ TDRI ชัดเจนว่า ประโยชน์ตกกับบริษัทขนาดใหญ่ แต่ SMEs หรือสตาร์ตอัพจะไม่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่ขาดทุนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ 5-10 ปี

“เราเสียเงินกับเรื่องไม่เข้าท่ามากมาย ถ้าเอามาลงให้คนกับภาคการผลิตที่ขาดคน โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม รวมถึงแก้ปัญหาตั้งแต่การส่งนักเรียนทุนไปต่างประเทศที่ยังสะเปะสะปะ ไม่มีติดตามตรวจสอบ กรณีหมอฟันหนีทุนจึงเกิดขึ้น และต่อให้ไม่หนีทุน ก็ใช่ว่ากลับมาแล้วจะโปรดักทีฟได้ มีตัวอย่างมากที่นักเรียนทุนปริญญาเอกรัฐ กลับมายังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงไหน มีปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ”

ทางแก้คือขอให้รัฐจัดเงินจัดคนให้ถูกวิธี แก้กฎระเบียบที่เป็นปัญหา และการเปิดเสรีในสาขาที่ยังมีการแข่งขันที่ไม่เพียงพอ เพื่อทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ธุรกิจจะทำนวัตกรรมได้โดยมีความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด เริ่มจากการยกเลิกใบอนุญาตที่ไม่จำเป็นในการเข้าสู่อุตสาหกรรม ลดอุปสรรคที่เป็นปัญหาของภาคการผลิต

ขณะที่การลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างการเติบโต มีเครื่องมือเดียวที่ทำได้ คือ คุณภาพการศึกษาที่ดี ซึ่งเป็นคนละโจทย์กับการสร้างนวัตกรรม เพราะหน้าที่ของนวัตกรรมคือสร้างการเติบโต แต่การยกระดับคุณภาพการศึกษาช่วยได้ทั้งลดความยากจนและให้เติบโตก้าวกระโดดจึงต้องเร่งทำ

ทนง ขันทอง

กองทุนบัวหลวง