สัมภาษณ์สด Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการ Kotak Mahindra Asset Management

Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mahindra Asset Management Co ให้สัมภาษณ์กองทุนบัวหลวงว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตเป็นเท่าตัวจากระดับปัจจุบันในอีก 7-8 ปีข้างหน้า ทำให้ตลาดหุ้นจะเติบโตเป็นเงาตามตัว ในขณะเดียวกันมีโอกาสสูงในการลงทุนในหุ้นมิดแค็ปของอินเดียที่จะปรับตัวกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต

ในช่วง1990 เศรษฐกิจอินเดียและเศรษฐกิจจีนมีขนาดเท่าๆกัน แต่เวลานี้เศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าอินเดีย 5 เท่า โดยการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมทางการเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญ จีนมีระบบเครดิตเมื่อเทียบกับจีดีพีที่ระดับ 211% เทียบกับเพียง 57% สำหรับอินเดีย ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงมีโอกาสเติบโตสูงทางเศรษฐกิจที่จะได้รับการขับเคลื่อนโดยภาคการเงิน

รัฐบาลอินเดียกำลังเปลี่ยนกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆเพื่อที่จะสนับสนุนการออมทางการเงิน เพื่อนำไปสู่การลงทุน และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ

นาย Shah กล่าวว่า ในปี 1990 เศรษฐกิจอินเดียมีขนาด 250,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทุกว่านี้เศรษฐกิจจีนมีขนาดเติบโตขึ้นอยู่ระดับ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการได้ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะโตเป็นเท่าตัวของระดับปัจจุบันในอีก 7-8 ปีข้างหน้า เมื่อเศรษฐกิจเติบโตดีเป็นอีกเท่าตัวใน 7-8 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นจะเติบโตดีได้เช่นเดียวกัน

สำหรับโอกาสการลงทุนในหุ้นมิดแค็ป

นายชาห์กล่าวว่าเศรษฐกิจอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากไปในทิศทางกับเทรนด์ของโลก 20 ปีที่แล้ว มีโทรศัพท์แบบแลนด์ไลน์ ตอนนี้ใช้โทรศัพท์โมไบลกันเกือบทุกคน 20 ปีที่แล้วคนไปดูหนังในโรงหนังปกติ เวลานี้ไปดูหนังที่มัลติเปล็กซ์ บริษัทขนาดเล็กและบริษัทขนาดกลางของอินเดียกำลังไปได้ดี และมีโอกาสเจริญเติบโตสูง เพราะว่ามีความคล่องตัว มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถก๊อปปี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ทำให้เกิดโอกาสของความสามารถในการทำกำไรสูงสุด เพราะว่ากำไรจะโตเร็วสุด และจะมีการปรับเร็ทติ้งของบริษัท การลงทุนจะได้กำไรทั้งจากผลประกอบการ และการได้รับเร็ทติ้งใหม่ที่สูงขึ้นของบริษัท ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น

นาย Shah กล่าวต่อไปว่า ในการลงทุนในหุ้นมิดแค็ปต้องการคนที่อยู่พื้นที่เพื่อที่จะติดตามดูการทำงาน หรือผลประกอบการของบริษัทมิดแค็ปเหล่านี้ ทางโกตั๊กมีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลทั้งหุ้นบริษัทใหญ่และหุ้นมิดแค็ป

ต่อคำถามเซ็คเตอร์ของหุ้นในกลุ่มมิดแค็ปที่น่าลงทุนมากที่สุด

นาย Shah บอกว่า เนื่องจากการเปิดเสรีทางด้านการเงินของรัฐบาลอินเดีย ทำให้บริษัทที่อยู่ในกลุ่มการเงินมีโอกาสเติบโตสูง ที่ผ่านมาคนอินเดียออมเงินหรือลงทุนในรูปการเก็บเงินสด ซื้อทอง และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ตอนนี้คนอินเดียเริ่มมีการออมเงินในแบงก์ และในกองทุนรวมมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงินไม่ว่าจะเป็นแบงก์ บริษัทไฟแนนซ์ ไมโครไฟแนนซ์ กองทุนรวมต่างๆจะมีการเติบโตสูง

นอกจากนี้เศรษฐกิจอินเดียเข้าสู่ระบบมากยิ่งขึ้นทำให้บริษัทเล็กๆมีการเติบโตเป็นบริษัทใหญ่ ตลาดผู้บริโภคจะเติบโตตามไปด้วย เซ็คเตอร์ที่จะไปได้ดีมีหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เคมีต่างๆ รวมทั้งอินฟอร์เมชั่นไอที และอุตสาหกรรมยา แม้ว่ามีการแข่งขันสูง และต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา แต่เชื่อว่าบริษัทอินเดียจะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ทั้งในตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ

ต่อคำถามว่าอะไรเป็นความเสี่ยงของการลงทุนในอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแง่มุมของนักลงทุนต่างประเทศ?

นาย Shah ตอบว่ามีความเสี่ยง 2 ประการ อินเดียเป็นประเทศที่มีการนำเข้าน้ำมันสูง ถ้าหากว่าน้ำมันมีราคาสูงขึ้น จะมีผลกระทบต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการขาดดุลงบประมาณการคลัง และอาจจะมีผลทำค่าเงินรูปีอ่อนตัวลงอย่างกระทันหัน แต่มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวที่ระดับ 40-60 เหรียญต่อบาเรลล์ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์

ความเสี่ยงอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการเมือง อินเดียมีการเลือกตั้งทั่วไปทุกๆ 5 ปี ในอดีตพอเปลี่ยนรัฐบาลที นโยบายการบริหารเศรษฐกิจก็เปลี่ยนไป แต่โชคดีสำหรับอินเดียในช่วงที่ผ่านมาแม้รัฐบาลจะเปลี่ยน แต่การบริหารเศรษฐกิจจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดมีความต่อเนื่อง เศรษฐกิจอินเดียจะโตอีกเท่าตัวจากระดับปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลอินเดียมีการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ