BF Morning Brief Special : แนะแผนนักลงทุนรับมือภาวะตลาดหุ้นผันผวนทั่วโลก

BF Morning Brief Special : แนะแผนนักลงทุนรับมือภาวะตลาดหุ้นผันผวนทั่วโลก

ตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ร่วงไปกว่า 1,300 จุดในช่วง 2 วันทำการ คือวันพุธและพฤหัสบดีที่ผ่านมา แม้วันศุกร์สถานการณ์จะดีขึ้นบ้างก็ตาม ซึ่งหลังจากกองทุนบัวหลวงศึกษาติดตามเหตุการณ์ก็พบว่า แม้หลายคนจะมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นผลจากธนาคารกลางสหรัฐจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้น หรือผลจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วประเด็นเหล่านี้ไม่ได้มีมุมมองใหม่ๆ ดังนั้นอาจเป็นผลจากประเด็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ระยะ10 ปี ที่ขึ้นมาแรงแตะระดับประมาณ 3.25% ทำให้ตลาดเกิดความกังวล

ขณะเดียวกันจากการที่ได้พูดคุยกับ ผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศ อาจเป็นเพราะปัจจุบันในสหรัฐมีการใช้โปรแกรมระบบซื้อขายอัตโนมัติ (โรบอท เทรด) กันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้อาจมีปัจจัยบางประการไปเข้าข่ายเงื่อนไขที่ระบุไว้ในระบบอัตโนมัติที่ทำให้สั่งขายหุ้นออกมา เพราะผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ระยะ 10 ปีที่แตะระดับ 3.25% นั้น ถือเป็นตัวเลขผ่านแนวต้านหลักๆ ขึ้นมา

สำหรับ กรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ออกรายงานมาในวันอังคารและพุธติดกัน โดยระบุว่า จะมีการปรับลดเป้าหมายผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของโลกลงในปีนี้และปีหน้า รวมทั้งเตือนว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอาจสูงเกินไป และนักลงทุนอาจประเมินความเสี่ยงสงครามการค้าต่ำเกินไป ก็อาจจะมีส่วนกับการที่ตลาดหุ้นปรับลดลงมาบ้าง เพราะทุกคนก็พยายามสะท้อนปัจจัยต่างๆ เข้าไปสู่ราคาหุ้น

นอกจากนี้ในความคิดเห็นส่วนตัวยังมองว่า การที่ไอเอ็มเอฟออกรายงานมานั้นอาจเพราะต้องการให้สหรัฐและจีนหันหน้ามาพูดคุยกัน จึงสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมที่เคยมองนั้นอาจไม่เหมือนที่คิดไว้

ทางด้านตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ปรับลดลงมามากจากความกังวลสงครามการค้านั้น ในมุมมองของกองทุนบัวหลวง มองว่า ประเด็นสงครามการค้าเริ่มสะท้อนเข้าไปในตลาดหุ้นแล้วจึงทำให้หุ้นลงต่อเนื่องมาซักระยะหนึ่ง แต่ก็มองว่ามีบางประเทศเริ่มน่าสนใจเข้าไปลงทุนแล้ว เพราะตลาดหุ้นอาจลงไปต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น แต่สิ่งเหล่านี้ก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่าสงครามการค้าจะดำเนินไปอย่างไรต่อ เบื้องต้น บางประเทศ บางกลุ่มอุตสาหกรรม เริ่มน่าสนใจลงทุนแล้ว

ขณะที่ตัวเลขการค้าจีนเดือน ก.ย.ที่ออกมาว่า การส่งออกไม่ได้รับผลกระทบเลยจากสงครามการค้า แต่กลับค่อนข้างเข้มแข็งด้วยซ้ำ ยังได้เปรียบดุลการค้ากว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น นักวิเคราะห์ของกองทุนบัวหลวงมองว่าก่อนขึ้นกำแพงภาษีนั้นอาจทำให้ทุกคนรีบไปสั่งสินค้าไว้ก่อน และสำหรับปัจจัยหนึ่งที่ติดตามในขณะนี้คือผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาเป็นอย่างไร

สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่า เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียนหรือละแวกเดียวกันนี้ ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่พื้นฐาน ทำให้ไม่ได้ลงตามประเทศอื่นมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ต่างๆ เงินก็ยังไหลออกจากประเทศเกิดใหม่อยู่ ดังนั้นนักลงทุนก็คงต้องกลับไปดูกันที่พื้นฐานของแต่ละประเทศและบริษัทว่า ผลกระทบของสงครามการค้าเพิ่มขึ้น ธุรกิจอะไรที่จะอยู่รอดได้ในสถานการณ์นี้ หรือธุรกิจใดจะได้ประโยชน์

ทั้งนี้ กองทุนบัวหลวง แนะนำให้นักลงทุนเดินหน้าตามแผนการลงทุนที่วางไว้ เพียงแต่เมื่อตลาดหุ้นขึ้นมาพอสมควรในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา ก่อนอื่นก็ขอให้กลับไปดูพอร์ตของตัวเองว่าเดิมวางสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไว้เท่าไหร่ จากนั้นก็กลับไปย้อนดูความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองว่าเหมาะสมหรือไม่ เพื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม รองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยปรับให้กลับมาอยู่ในระดับความเสี่ยงที่รองรับได้ที่แล้วเดินหน้าต่อ เพราะตลาดก็มีขึ้นมีลงมีความผันผวน การลงทุนเป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้นยังคงต้องลงทุนต่อไป เพราะในวิกฤติก็เป็นโอกาส เพียงแค่ต้องวางแผนให้เหมาะสม ใช้เงินที่สามารถลงทุนระยะยาวได้ โดยที่ยังมีสภาพคล่องเพียงพอ นอกจากนี้ นักลงทุนที่ยังไม่ได้ลงทุนใน LTF หรือ RMF ก็เป็นเวลาซื้อได้แล้ว เป็นโอกาสของการทยอยสะสมได้ในช่วงนี้