กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ (B-SENIOR)

กองทุนผสมบีซีเนียร์สำหรับวัยเกษียณ (B-SENIOR)

วัตถุประสงค์การลงทุน: ลงทุนในประเทศ ได้แก่ ตราสารแห่งหนี้และเงินฝาก ไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV ตราสารแห่งทุน ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 30% ของ
NAV และหรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมในประเทศ กองทุนรวมทองคำ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และ/หรือกองทุน
รวมอีทีเอฟ (ETF) เป็นต้น ซึ่งเหมาะสำาหรับนักลงทุนที่ต้องการลดภาระการบริหารเงินในวัยเกษียณ และต้องการโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนภายใต้
ความเสี่ยงที่เหมาะสม

Bloomberg (A): BSENIOR TB

Fund Size: B-FLEX: 23,878 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2018)

Morningstar Category: Conservative Allocation

สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุนไทยช่วงเดือน ต.ค. 2018

ตลาดหุ้นไทยเปิดไตรมาสสุดท้ายของปีด้วยความผันผวนโดย SET Index ปรับลดประมาณ 5% พร้อมกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงกว่า 3% ซึ่งการปรับตัวลงของ
ดัชนีเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีหุ้นทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
(FED) โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปี 2019 ลดลงสู่ 3.7% จากเดิมที่ 3.9% โดยให้
น้ำาหนักในประเด็นของความเสี่ยงสงครามการค้า ความเปราะบางทางเศรษฐกิจรายประเทศ และภาวะการเงินโลกที่มีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในเดือน ต.ค. ปรับตัวลงกระจายในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันและการบริโภคภายในประเทศ ขณะเดียวกัน การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 3.2% ส่งผลให้การถือครองสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกลดลง อีกทั้ง เดือนนี้ยังเป็นช่วงการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2018 โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐบางรายได้เปดเผยผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับตลาด กอปรกับมูลค่าที่ตึงตัวจากความคาดหวังที่สูง

นอกจากปัจจัยภายนอกประเทศแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ อาทิเช่น ตัวเลขการส่งออกที่ติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน
รายได้ภาคเกษตรที่หดตัว และภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ทำาให้เกิดแรงขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีปรับขึ้นไปในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่มี
สถานะขายสุทธิในเดือน ต.ค.กว่า 6 หมื่นล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิสะสม 2.7 แสนล้านบาท

สรุปภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในช่วงเดือน ต.ค. 2018

ในช่วงที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในเกือบทุกช่วงอายุ โดยพันธบัตรระยะสั้น – กลาง ปรับขึ้นมากกว่าพันธบัตรระยะยาว
(Flattening Bias) ตามตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน
ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร รุ่นอายุ 10 ปี ของสหรัฐ ทดสอบระดับสูงสุดในรอบปีที่
ร้อยละ 3.26 นอกจากนี้ปัจจัยในประเทศยังเสริมให้อัตราผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เริ่มส่งสัญญาณถึงการขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบาย

กลยุทธ์การลงทุน

ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงเดือน ต.ค. ปรับลดลงจากส่วนของตราสารทุนด้วยสภาวะตลาดที่ค่อนข้างผันผวนในระหว่างเดือน อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการ
กองทุนยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทคุณภาพที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง และมี
แนวโน้มการจ่ายปันผลดีอย่างสม่ำเสมอ

ผู้จัดการกองทุนใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น โดยเลือกหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพดีที่ราคาลดต่ำลงกว่าราคาที่ควรจะเป็น
รวมถึงได้ลดสถานะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นขึ้นมามากกว่าราคาที่ควรจะเป็น และ/หรือแนวโน้มของอุตสาหกรรมหรือบริษัทอาจแย่ลงในอนาคต เช่น
พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขนส่ง วัสดุก่อสร้าง โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีการสื่อสาร พลังงานและสาธารณูปโภค และธนาคาร

สำหรับตราสารหนี้ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักที่มีคุณค่าสำหรับพอร์ตการลงทุนด้วยสัดส่วนการลงทุนประมาณ 75% ของ NAV โดยผู้จัดการกองทุนยังคงมุ่งหวัง
ผลตอบแทนระยะสั้นถึงกลางให้สูงกว่าดัชนีชี้วัดโดยเน้นการลงทุนทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสอดคล้อง เหมาะสมกับความเสี่ยง ด้วยอายุ
เฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ประมาณ 1.93 ปี ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ราว 2.1 ปี โดยผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ผู้ออกมีฐานะ
ทางการเงินมั่นคง รวมถึงได้ Credit spread ที่น่าจูงใจเหมาะสมกับระดับความเสี่ยง โดยเลือกการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี

มุมมองต่อการลงทุนของทีมผู้จัดการกองทุน

ผู้จัดการกองทุนมองว่า ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวต่ำกว่าระดับนี้ไปมากแล้ว ด้วยราคาหุ้น ณ ระดับปัจจุบันที่ซึมซับความกังวลทั้งเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ของ FED และสงครามการค้า ซึ่งหากมีการย่อตัวลงก็เป็นโอกาสในการคัดสรรหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีในช่วงระยะกลางถึงยาว รวมถึงยังคง
มองว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือกองทรัสต์มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดผันผวน โดยเน้นกองทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนใน
ระดับสูงสม่ำเสมอ โดยปัจจัยบวกสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่ ความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างจากภาครัฐ

สำหรับ ผู้จัดการกองทุนมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของ Fed
และสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. โดยคาดว่า จากผลการประชุม กนง. ครั้งล่าสุดมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นได้ในการประชุม
เดือน ธ.ค. หรืออย่างช้าภายในไตรมาส 1 ปีหน้า