กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)

สรุปภาวะตลาดและกลยุทธ์การลงทุน

ผลตอบแทนหุ้นจีนเมื่อวัดจากดัชนี MSCI All China Net Return USD ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 20 พ.ค. เพิ่มขึ้น 13.46% กองทุน Allianz All China Equity USD ให้ผลตอบแทน 17.14% สูงกว่าดัชนี เป็นผลจากการเลือกหุ้นรายตัวในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคฟุ่มเฟือย อาทิ บริษัทผลิตสุราพรีเมี่ยม Wuliangye Yibin Co. Ltd มีน้ำหนักการลงทุนที่ 3.8% ราคาหุ้น +90% และกองทุนยังมีการเลือกหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ บริษัทผลิตเครื่องยกไฮโดรลิก Jiangsu Hengli Hydrauli น้ำหนักลงทุน 3.7% ราคาหุ้น +68% ช่วยทำให้กองทุนทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี

ผลการดำเนินงาน Allianz All China Fund ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 20 พ.ค. 2019

ล่าสุดกองทุน Allianz All China Fund ถือครองหุ้นจำนวน 54 หลักทรัพย์ โดยมีราคาตลาดเทียบกับกำไรสุทธิ หรือ Price-to-earnings ที่ 18 เท่า สูงกว่าดัชนีที่ 15 เท่า เนื่องจากกองทุนให้น้ำหนักกับหุ้นเติบโตมากกว่าดัชนี แม้ดัชนีจะมีน้ำหนักหุ้นกลุ่มธนาคารถึง 26% แต่กองทุนก็ให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินเพียง 21% เนื่องจากกองทุนมองว่าหุ้นกลุ่มนี้ว่าอยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจเก่า (Old China) ห้วงเวลาที่ดัชนีตลาดหุ้นจีนดีดตัวแรงในไตรมาสแรก กองทุนไม่ได้เร่งรีบสับเปลี่ยนการลงทุนไปยังกลุ่มที่มีปริมาณการซื้อขายสูงเพื่อแสวงหาผลตอบแทนระยะสั้นแต่อย่างใด ผลตอบแทนที่ดีตั้งแต่ต้นปีเป็นผลจากกระบวนการการคัดเลือกบริษัทลงทุนรายตัวเป็นหลัก ณ ปัจจุบันกองทุน Allianz All China Fund ให้น้ำหนักกับบริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจย่อย ดังนี้

Overweight: สินค้าฟุ่มเฟือย (Fund 17% / Benchmark 16%) สินค้าจำเป็น (Fund 10% / Benchmark 6%) อุตสาหกรรม (Fund 14% / Benchmark 9%) และไอที (Fund 8% / Benchmark 6%) เนื่องจากมองเห็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจเพราะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจจีนจาก Old China ไปยัง New China

Underweight: สถาบันการเงิน (Fund 24% / Benchmark 25%) วัสดุก่อสร้าง (Fund 3% / Benchmark 5%) บริการด้านการสื่อสาร (Fund 9% / Benchmark 13%) เฮลธ์แคร์ (Fund 3% / Benchmark 5%)

การที่กองทุนให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์น้อยกว่าดัชนี เนื่องจากธุรกิจเฮลธ์แคร์จีนกำลังเผชิญความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบจากภาครัฐ ปัจจัยดังกล่าวกดดันรายได้ของบริษัทผู้ผลิตยา ทำให้คาดเดายากว่าธุรกิจจะต้องเผชิญอะไรต่อไปอีกในอนาคต

การที่กองทุนให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินน้อยกว่าดัชนีเพราะในปีนี้รัฐบาลจีนจะใช้ภาคการเงินดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตผ่านช่องทางสินเชื่อ คาดว่าธุรกิจธนาคารจึงจำเป็นต้องปล่อยสินเชื่อในระดับดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลต่อระดับความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นของกิจการ

กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร ธุรกิจในกลุ่มนี้มีการใช้เงินลงทุนอย่างมากไปกับเครือข่ายระบบโทรคมนาคม 5G คาดว่าจะมีเพียงบริษัท China tower เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด กองทุนได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน China Tower (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.49%) ในเดือน มี.ค.-เม.ย.

ผู้จัดการกองทุน มองว่า ในปีนี้ยังไม่ใช่ปีที่ดีสำหรับธุรกิจในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กำไรขั้นต้นของบริษัทในกลุ่มนี้ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ กองทุนจึงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้น้อยกว่าดัชนี

การที่ราคาหุ้นพุ่งแรงในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา กองทุนทำการลดน้ำหนักด้วยการขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม

กลุ่มธนาคาร เช่น CHINA MERCHANT BANK, BANK OF NINGBO หลังราคาพุ่งแรงแซงหน้า Big 4 bank เป้าหมายเพื่อควบคุมความเสี่ยงของพอร์ตและเพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนอื่นๆ

กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ทยอยขายทำกำไรบริษัทผู้ผลิตสุราพรีเมี่ยม Wuliangye Yibin Co. Ltd ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 90.8% แซงหน้าบริษัทคู่แข่งซึ่งถือครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งอย่าง Kweichow Moutai ราคาเพิ่มขึ้นเพียง 47.9% และหันมาลงทุนในบริษัทผู้ผลิตสุราขาวชื่อ Shanxi Xinghuacun Fenwi ซึ่งเป็นผู้นำระดับภูมิภาคมีฐานการผลิตในจังหวัดชานซีและกำลังจะขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคตอนเหนือและตอนกลางของจีน กำไรสุทธิบริษัทเติบ 40% ความน่าสนใจอยู่ตรงที่บริษัทเสนอโปรแกรมหุ้นบริษัทที่เรียกว่า Shareholder ownership scheme ให้กับผู้บริหาร

Portfolio Positioning: Top 10 holdings (left) and Overweights positions (right) – Allianz Global Investor fund – All China Equity

Portfolio breakdown by Stock exchange

Source: Allianz Global Investors, as of March 31, 2019

มุมมองต่อตลาดหุ้นจีนหลังราคาพุ่งแรงในช่วงต้นปีและปรับตัวลดลงในเดือน .. 2019

หุ้นจีนปีนี้เมื่อวัดจากดัชนี MSCI China A ได้ขึ้นไปสูงสุดและปรับตัวลงแล้ว -14% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นโลกที่มีองค์ประกอบของบริษัทที่พึ่งพิงรายได้จากประเทศจีนเมื่อวัดจากดัชนี MSCI World with china exposure Index USD ลดลงเพียง -6.8% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เห็นได้จากกราฟซ้ายมือ

(เส้นสีน้ำเงิน) ดัชนี MSCI World with China exposure USD ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้น 51 บริษัท รายได้ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มนี้ซึ่งเป็นองค์ประกอบของดัชนีนั้น ได้รับผลกระทบทางตรงจากสงครามการค้า อาทิ Qualcomm 67% ของรายได้มาจากจีน Broadcom 49% ของรายได้มาจากจีน เมื่อเปรียบเทียบกับ (เส้นสีเขียว) ขณะที่ดัชนีหุ้นจีน MSCI China A ซึ่งเป็นหุ้นจีนที่พึ่งพิงรายได้จากสหรัฐฯเพียง 2.5% ราคากลับร่วงลงมากกว่า

การที่ดัชนีหุ้นจีน MSCI China A ซึ่งรายได้ของบริษัทในดัชนีนี้แทบจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ-จีน แต่ราคากลับลดลงมากกว่าเพราะตลาด A-shares มีความผันผวนสูงกว่า ราคาจึงลดลง/เพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน เห็นได้ชัดจากตลาดหุ้นในปี 2018 ที่ผ่านมา ราคาลดลง -30% ถึง- 40% และในปีนี้ที่ขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน เม.ย. +30% ถึง +40% โครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ถือครองโดยรัฐวิสาหกิจทำให้ปริมาณหุ้นที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้มีไม่มาก ประกอบกับเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายจากนักลงทุนรายย่อยในสัดส่วนที่สูงเป็นสาเหตุของความผันผวนดังกล่าว

ดังนั้นหากความขัดแย้งทางการค้ายกระดับขึ้นต่ออีกโอกาสที่หุ้นจีนจะกลับเข้าสู่ภาวะตลาดหมีเหมือนกับปี 2018 ที่ผ่านเป็นไปได้น้อย เนื่องจาก

1.อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนของหุ้นจีนทั้ง A Shares, H-Shares และ US-ADRs ฟื้นตัว +11% YoY ปัจจุบันตลาดมองว่าน่าจะอยู่ที่ 10-15% สำหรับทั้งปี FY2019

2.แรงหนุนจากนโยบายทางการเงินร่วมกับนโยบายทางกลางคลังประคองภาพรวมให้ค่อนข้างเสถียร ซึ่งตรงกันข้ามกับปีก่อนที่จีนเผชิญกับภาวะการปรับลดหนี้ (Deleveraging) ทำให้ภาคสินเชื่อตึงตัว โดยภาคสินเชื่อเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ

3.ระดับมูลค่าหุ้นจีน ปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวโดยอัตราส่วน Forward Price-to-earnings ratio ของ MSCI China A-Shares  11.3 x เทียบค่าเฉลี่ย 10 ปี 13.2 x  และอัตราส่วน Forward Price-to-book ratio  ของ MSCI China A-Shares 1.68 x เทียบค่าเฉลี่ย 10 ปี 2.2 x ระดับมูลค่าเทียบกับอดีต บ่งชี้ถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนระยะยาว

4.MSCI ดำเนินการรวมหุ้นจีน A-Shares ตามแผนที่เคยประกาศไว้

  • 4.1 วันที่ 28 พ.ค. 2019 เพิ่มน้ำหนัก China A-Shares ใน MSCI EM Index เป็น 1.76% หุ้น จำนวน 26 บริษัทจะถูกนำมารวมคำนวนเพิ่มในดัชนี ทำให้ปริมาณหุ้นที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เสรี (Free float) เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 10%
  • 4.2 เดือนพ.ย.2019 เพิ่มน้ำหนัก China A-Shares ใน MSCI EM Index จาก 1.76% เป็น 3.3% รายชื่อหุ้นยังไม่มีการเปิดเผย ทำให้ปริมาณหุ้นที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เสรี (Free float) เป็น 20%

หมายเหตุเพิ่มเติม: ระหว่างทาง หมายถึงในเดือน ส.ค. 2019 MSCI อาจพิจารณาเพิ่มปริมาณหุ้นที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้เสรี (Free Float) จาก 10% เป็น 15% ก็ได้ โดยไม่ต้องรอเพิ่มในเดือน พ.ย. 2019 เพียงครั้งเดียว

Source: MSCI, Citi, Bank of America Merrill Lynch, Allianz Global Investor, as of March 2019

https://www.msci.com/documents/10199/43f3ee8b-5182-68d4-a758-2968b4206e54https://www.reuters.com/article/us-china-stocks-msci/msci-to-quadruple-weighting-of-china-a-shares-in-its-global-benchmarks-idUSKCN1QH318

ในมุมของกองทุนทั้ง Allianz All China  และ Allianz China A Shares ได้ใช้จังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงเข้าลงทุนในบริษัทที่น่าสนใจ แน่นอนว่าหุ้นที่กองทุนถือครองบางบริษัทมีรายได้โดยตรงมาจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ ราคาตลาดของหุ้นเหล่านี้ซึ่งลดลงมากกว่ารายได้ที่หายไปหลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เป็นจังหวะที่ดีในการสะสมบริษัทศักยภาพ โอกาสดังกล่าวไม่มีให้เห็นบ่อยนักในตลาดทุนของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ตราสารทุนจีนในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเกิดใหม่จึงเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนที่เข้าใจลักษณะเฉพาะของความผันผวนสำหรับการลงทุนในตราสารทุนของประเทศนี้ อันจะนำมาซึ่งโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี (Alpha)

คำถามและคำตอบสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน

1.พัฒนาการด้านภาวะหนี้จีนและความพยายามของทางการจีนในการลดหนี้ (Deleveraging) มีความคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด?

มีพัฒนาการในเชิงบวก โดยพบว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อนอกงบการเงิน (Off balance sheet financing) ชะลอลงเมื่อเทียบรายปี (กราฟซ้าย) หนี้สินภาคเอกชนทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (กราฟขวา)

จีนจำเป็นต้องเตรียมการบางสิ่งเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน ดังคำสุภาษิตที่เรียกว่า “อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน” ดังนั้นห้วงเวลาแห่งการลดหนี้ จึงทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในจังหวะที่ช้าลงตั้งแต่ต้นปีธุรกิจทยอยปรับโครงสร้าง การสร้างหนี้เพื่อนำมาลงทุนส่งสัญญาณลดลง และอัตราการเติบโตสัดส่วนสินเชื่อ SMEs เริ่มลดลง

Source: Bloomberg, Allianz Global Investors, as of March 31, 2019.

2.ถ้าสนใจหุ้นจีนและอยากลงทุน ราคาหุ้นตอนนี้แพงไปหรือยัง?

หากพิจารณาจากระดับมูลค่าหุ้นจีนเทียบกับอดีตโดยใช้ดัชนี MSCI China ซ้ายมือ และ MSCI China A Onshore ขวามือซึ่งเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด ถือว่ายังไม่แพงเกินไป

กระบวนการลงทุนของ Allianz Global Investor Fund – All China Equity

  1. คัดสรรหลักทรัพย์จากปัจจัยสามด้าน คือ ต้องเป็นทั้งหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นคุณภาพ (Quality) และหุ้นที่มีระดับมูลค่าเหมาะสม (Valuation) เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักทรัพย์ลงทุน 40-60 บริษัท
  2. ทีมงานวิจัยภาคสนาม (Grass roots research) ลงไปสำรวจบริษัทนั้นๆ ตั้งแต่แหล่งที่มาของรายได้ แหล่งที่มาของต้นทุน ทิศทางอุตสาหกรรม ทั้งจากผู้ประกอบการ ตัวแทนขาย ลูกค้า
  3. วิเคราะห์ติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง (Ongoing Basis) ว่าเป็นไปตามแนวทางการลงทุน (Client guideline) ความเสี่ยงจะถูกประเมินทั้งระดับพอร์ตโฟลิโอ ประเทศ อุตสาหกรรม สไตล์ และรายหลักทรัพย์ โดยใช้ตัวชี้วัดมาตรฐานเช่น Tracking Error, Sharpe Ratio, Information Ratio, Volatility และ Portfolio Beta

สัดส่วนการลงทุนกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน ณ วันที่ 30 เม.ย. 2019

ผลการดำเนินงานกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน ณ วันที่ 30 เมย. 2019

ที่มา: https://www.bblam.co.th/application/files/3415/5748/0761/MFU_B-CHINE-EQ_TH.pdf

หมายเหตุ: เอกสาร Product update B-CHINE-EQ ประจำไตรมาส 2Q2019 ฉบับนี้ เขียน ณ วันที่ 27 พ.ค. 2019