กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE)

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE)

ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ช่วงต้นปี

ตลาดสินทรัพยเสี่ยงทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นปรับขึ้นถ้วนหน้า นับตั้งแต่ต้นปี 2019 จนกระทั่งถึงเดือน เม.ย. โดยดัชนี MSCI All Country World Index ปรับขึ้นถึง 16.8% โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์ ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับจากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนคาดว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ ในขณะที่ปัจจัยด้านการดำเนินนโยบายรัดกุมของธนาคารกลางขนาดใหญ่ เช่น FED, ECB ที่เป็นหนึ่งความเสี่ยงหลักในช่วงปีที่แล้วผ่อนคลายลงเช่นเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังว่าสภาพคล่องจากทางธนาคารกลางจะยังคงสนับสนุนตลาดการเงินต่อไป

สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่กองทุน B-FUTURE ลงทุน ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 จนถึง เม.ย. หุ้นกลุ่ม Technology สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า (Outperform) ตลาดหุ้นทั่วโลก และปรับตัวขึ้นได้สูงสุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นำโดยหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ที่ดัชนี Philadelphia Semiconductor ซึ่งเป็นดัชนีที่แสดงความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน แม้ว่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกินอยู่ก็ตาม แต่ด้วยความผ่อนคลายทางด้านสถานการณ์สงครามการค้า ในช่วงต้นปีทำให้นักลงทุนมีมุมองเชิงบวกมากขึ้นต่ออุตสาหกรรม อีกทัั้งหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ยังได้รับผลบวกจากเหตุการณ์ที่ Qualcomm และ Apple ได้ประกาศข้อตกลงร่วมกันยุติการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นทั่วโลกระหว่างบริษัททั้งสองแห่ง และทาง Apple ยอมเซ็นสัญญาขอใช้สิทธิบัตรจาก Qualcomm เป็นระยะเวลาถึง 6 ปี

อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินต้องกลับมาเผชิญกับความผันผวนอีกครั้งในช่วงต้นเดือน พ.ค. หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 200,000 ล้านดอลลาร์ฯ จากเดิม 10% ขึ้นเป็น 25% และจีนมีแนวโน้มที่อาจออกมาตรการเพื่อตอบโต้ สร้างความตึงเครียดในการเจรจาของทั้งสองฝ่ายมากขึ้น ซึ่งหากมีความยืดเยื้อยาวนานก็จะส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจจริงของทั้งสองประเทศและประเทศที่เป็นห่วงโซ่อุปทานได้

กลยุทธ์การลงทุนและมุมมองของผู้จัดการกองทุน

ผู้จัดการกองทุนยังคงมองว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้อยู่ในช่วงชะลอตัวจากปีก่อนหน้าแต่ทว่าไม่ได้กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ (Recession) ด้วยการชะลอของเศรษฐกิจโลกส่วนหนึ่งมาจากผลของฐานที่สูงจากปีที่ผ่านมา อีกทั้ง ความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วมีแนวโน้มผ่อนคลายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัว (Tightening Monetary Policy) ของ FED อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก ได้แก่ ความเสี่ยงทางด้านสงครามการค้าที่จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯ จีน และต่อเนื่องไปถึงประเทศที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งแนวโน้มของสงครามการค้ายังคงปะทุขึ้นและยืดเยื้อต่อไปด้วยการเจรจาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้

สำหรับกองทุน B-FUTURE ผู้จัดการกองทุนเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับของการบริโภค (Consumption Upgrade) และธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้น้ำหนักกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริการมากกว่าธุรกิจการผลิต

ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นว่าความผันผวนของตลาดในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อ Theme การลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้การดำรงชีวิตในอนาคตมีความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมมูลค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงพลังของการบริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคในเอเชียที่โครงสร้างทางด้านประชากรเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงแนวโน้มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลบวกต่อการบริโภคและการลงทุน ทั้งการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) และความต้องการที่จะบริโภคในสินค้าหรือบริการที่ในระดับราคาที่สูงและมีคุณค่ามากขึ้น (Premiumization)

สำหรับกองทุนต่างประเทศที่กองทุน B-FUTURE ไปลงทุน ณ ปัจจุบัน ประกอบไปด้วย 2 กองทุน ได้แก่ Fidelity fund-China Consumer และ Allianz
Global Artificial Intelligence ซึ่งข้อมูลและมุมมองจากผู้จัดการกองทุนทั้ง 2 กองทุน เป็นดังนี้

  • Fidelity Fund – China Consumer (มีสัดส่วนการลงทุน 34.7%) ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 สามารถปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน นำโดยการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่ม IT และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer Staple) ที่ผลประกอบการยังคงแข็งแกร่ง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนส่งผลได้จริงสามารถกระตุ้นการบริโภคของครัวเรือนได้ ผู้จัดการกองทุนมองว่า ตลาดหุ้นจีนในระยะสั้นน่าจะยังคงเผชิญความผันผวนด้วยปัจจัยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่ยังคงยืดเยื้อ แต่เชื่อมั่นในทางการของจีนว่าพร้อมที่จะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้เมื่อจำเป็น โดยผู้จัดการกองทุนยังคงชื่นชอบและเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน (New China) ซึ่งเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้จะมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพใน 3-5 ปีข้างหน้า ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี การแปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศจีน โดยเน้นบริษัทที่มีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ยืดหยุ่น โดย ณ ปัจจุบัน ผู้จัดการกองทุนมีมุมมอง
    เชิงบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ธุรกิจประกัน และการสื่อสาร
  • Allianz Global – Artificial Intelligence (มีสัดส่วนการลงทุน 46.3%) ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 กลับมาปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ตามตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ด้วยกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 88% ขณะการกลับมาเพื่อน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook ตั้งแต่ช่วงต้นปีได้สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับกองทุน หนุนโดยรายได้ค่าโฆษณาที่เติบโตแข็งแกร่ง และเริ่มมีการจัดการทางด้านระบบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เป็นหนึ่งในประเด็นกดดันบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมากองทุนได้ทำการขายหุ้นบางส่วนในบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ที่มองว่ามูลค่าหุ้นขึ้นมาสูงมากเกินไปเมื่อเทียบกับการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยจะรอโอกาสที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาเพื่อเข้าไปเพิ่มสถานะการลงทุนอีกครั้ง แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านภาวะเศรษฐกิจและปัญหาด้านสงครามการค้า โดยหนึ่งในหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ได้แก่ กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งผู้จัดการกองทุนได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนลงมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะลงมาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลแล้ว และความมีเสถียรภาพมากขึ้นของภาวะอุปสงค์และอุปทานในตลาดจะช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยต้องติดตามและประเมินผลความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าอย่างใกล้ชิด โดยผู้จัดการกองทุนมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อพัฒนาการของ
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเห็นการนำเอา AI เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการพัฒนาของนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนให้แก่นักลงทุน

ตัวอย่างหุ้นในพอร์ตการลงทุนของกองทุน B-FUTURE

  • ZTO Express บริษัทขนส่งพัสดุรายใหญ่ของจีน มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุด (18.6% ในไตรมาสแรกปี 2019) ตลาดซื้อขายออนไลน์ของจีนสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่มุ่งเข้าสู่ออนไลน์มากขึ้น แม้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับสูง จนกระทั่งกดดันให้ราคาค่าขนส่งที่คิดกับลูกค้าต้องลดลง ทว่า ZTO มีความได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นในด้านของการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และการที่มีศูนย์กระจายสินค้าเยอะที่สุดทำให้ได้เปรียบในเรื่องการจัดส่ง โดยตั้งแต่ต้นปี 2019 ราคาหุ้นของ ZTO ให้ผลตอบแทน 12.3%
  • Square Inc หนึ่งในบริษัท Fintech ผู้พัฒนาระบบรองรับการจ่ายเงินผ่านอุปกรณ์พกพา รวมถึงพัฒนาระบบโปรแกรมเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก เข้าถึงระบบการชำระเงินและจัดการข้อมูลในด้านต่างๆ ตั้งแต่ ใบเสร็จ สินค้าคงคลัง รายงานการขาย ไปจนถึงวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการให้สินเชื่อออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือให้กับธุรกิจขนาดเล็ก โดยมียอดการชำระเงินออนไลน์ผ่านระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง Square ได้พิสูจน์แล้วว่าผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยเชื่อว่า Square จะสามารถดึงดูดลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นผู้นำในตลาดการชำระเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยตั้งแต่ต้นปี 2019 ราคาหุ้นของ Square ให้ผลตอบแทน 10.5%

ผลการดำเนินงานของกองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2019)

ประวัติการจ่ายเงินปันผล