กองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย (เน้นการเติบโต)

กองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย (เน้นการเติบโต)

กองทุนเปิดบัวแก้ว (BKA) กองทุนเปิดบัวแก้ว 2 (BKA2) กองทุนเปิดบัวหลวงธนคม (BTK) กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล (BTP) กองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน (B-INFRA)

BBLAM’s 2019 INVESTMENT THEMES

“รุ่งเรืองด้วยโครงสร้างพื้นฐาน บนสายพานของโลจิสติกส์”

  • ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยยังคงผันผวน ท่ามกลางความเสี่ยงที่ก่อตัวมากขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ดำเนินไป ได้ทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอลง และเริ่มส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ โดยล่าสุด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสหรัฐ หดตัวลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี และเศรษฐกิจจีนในไตรมาสสองเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 27 ไตรมาส ด้านเศรษฐกิจยุโรปยังคงฟื้นตัวช้า โดยถ้าหากเยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เศรษฐกิจติดลบต่อในไตรมาสสาม จะทำให้เกิดสถานการณ์ ‘Technical Recession’ รวมถึงความเสี่ยง Brexit ที่ยังคงไร้ทางออกที่ชัดเจน ด้วยความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ ธนาคารกลางหลักจึงพร้อมเพรียงกันดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ทั้งการหยุดการลดขนาดงบดุลของ Fed และการกลับมาทำ QE ของ ECB ทำให้สภาพคล่องทางการเงินโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ซึ่งยังเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยคาดว่า อิทธิพลจากนโยบายการเงินในรอบนี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้า สภาพคล่องทางการเงินโลกที่ล้นในปัจจุบันนี้ ได้ทำให้พันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราดอกเบี้ยติดลบ เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว หรือคิดเป็นหนึ่งในสามของพันธบัตรที่เป็น Investment Grade ทั้งหมด
  • แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนจะยังเต็มไปด้วยความเสี่ยง นักลงทุนยังคงมั่นใจว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดำเนินมายาวนานที่สุด นับจากยุคหลังสงครามโลกจะยังคงดำเนินต่อไป อย่างน้อยก็ในระยะข้างหน้า โดยดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐนั้น อยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่โหมดการขยายตัวระดับต่ำ มากกว่าที่จะเป็นเศรษฐกิจถดถอย ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวที่อ่อนแอลง แต่ไม่ได้แย่ลงอย่างรุนแรง ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในช่วงต่อจากนี้จะเป็นแบบ Selective มากขึ้น
  • ด้านตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม โดยในเดือนกันยายนปรับตัวลดลงอีกประมาณ 1% จากแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ 11,658 ลบ. และจากนักลงทุนสถาบัน 8,164 ลบ. ทำให้ตลาดยังไม่สามารถประคองตัวอยู่ได้ ขณะที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้มีการปรับลดลงต่อเนื่อง ความหวังของเศรษฐกิจไทยจึงอยู่ที่การพิจารณา พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2020 ความคืบหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จากทางภาครัฐ ว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด

มุมมองตลาดหุ้นไทย

การลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะยังมีแนวโน้มผันผวน อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ซึมซับปัจจัยลบไปบ้างแล้ว ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยใหม่ หากผลลัพธ์จากเหตุการณ์ความเสี่ยงต่างๆ ออกมาในด้านดี บรรยากาศการลงทุนอาจกลับมาเป็นเชิงบวกได้ ทั้งนี้ เม็ดเงิน LTF และ RMF ที่มักจะไหลเข้ามาในไตรมาสสุดท้ายของปี อาจจะช่วยประคองตลาดหุ้นในได้บ้าง แต่ Upside ของหุ้นไทยยังค่อนข้างจำกัดจากแนวโน้มผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ยังไม่โดดเด่นนัก จึงเชื่อว่า ถ้าตลาดปรับตัวลดลงจะเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี

แม้ราคาหุ้นจะสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ มาบางส่วนแล้ว แต่ก็ยังต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้เรายังคงยึดมั่นต่อความพิถีพิถันในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว เพื่อหาหุ้นที่แข็งแรงพอที่จะผ่านปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ และสามารถแสดงศักยภาพของการเติบโตต่อไปในระยะยาวได้ ภายใต้ราคาที่เหมาะสม

ปัจจัยทั้งบวก/ลบต่อกองทุน

(+) ความคาดหวังจากภาครัฐ ที่ออกมาตรการกระตุ้นรอบใหม่ จะช่วยดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวในไตรมาส 4/2562 เช่น โครงการ 100 เดียวเที่ยวไทย วันธรรมดาราคาช็อกโลก และ ชิมช้อปใช้ เฟส 2 ที่จะต่อยอดจาก “ชิมช้อปใช้” ที่มีเงินสะพัด 8.2 พันล้านบาท

(+) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในหลายๆประเทศ รวมถึงไทย (ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายเงิน หรือ กนง. เดือน พ.ย.นี้) ที่ต่ำลง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญของตลาด

(+) ความคาดหวังกระตุ้นเศรษฐกิจโลก ผ่านการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเริ่มมีความเข้มข้นขึ้น นอกจากจะลดดอกเบี้นโยบายลงแล้ว ยังใช้มาตราการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ คาดว่าจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป โดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาแล้ว

(+) กระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองของกระทรวงมหาดไทยเหลือ 0.01% จากเดิมค่าธรรมเนียมการโอนต้องเสียในอัตรา 2% ของราคาประเมิน และค่าธรรมเนียมการจดจำนองต้องเสีย 1% ของราคาประเมิน แต่จะขยายราคาบ้านที่เข้าข่ายได้รับการลดค่าธรรมเนียมให้สูงขึ้นไม่เกิน 3 ล้านบาท จากเดิมในกลุ่มบ้านเอื้ออาทรกำหนดราคาบ้านไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการบ้านจัดสรร หลังจากได้รับผลกระทบจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)

(+) สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท โดยขาดดุลงบฯ 4.69 แสนล้านบาท หากผ่านไปได้ ขั้นตอนถัดไป คือ 8-9 ม.ค. 2563 สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่ 2-3 และ 20 ม.ค. วุฒิสภาพิจารณาจะเริ่มเบิกจ่ายอย่างเร็วสุดเดือน ก.พ. 2563 อีกประเด็นคือ การเซ็นสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา โดยรวมประเด็นความคาดหวังงบประมาณปี 2563 จะเดินหน้าและโครงการเชื่อม 3 สนามบินดังกล่าว มีผลต่อบริษัทจดทะเบียนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม รวมถึงธนาคารพาณิชย์

(+/-) เศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี  2563 ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน หลักๆ คือ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน เนื่องจากทั้ง 2 ฝั่งยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าระหว่างกัน 4 รอบ การเจรจายุติยังไม่ได้ข้อสรุป และมีแนวโน้มจะยืดเยื้อไปจนถึงการเลือกตั้งประเธานาธิบดีปลายปี 2563 ประเด็นสหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจายุโรป (Brexit) ที่ยังมีประเด็น หลังจากที่ผ่านมาสภาอังกฤษมีมติโหวตด้วยเสียง 322-306  ให้ชะลออนุมัติ Brexit Deal ฉบับใหม่

(-) ประเด็นกดดันจากความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนในประเด็นฮ่องกง หลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ด้วยการผ่านร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของฮ่องกง ขณะที่จีนได้ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และขู่ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้

(-) ปัจจัยลบเชิงจิตวิทยาระยะสั้น ต้องติดตามกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP (จีเอสพี) กับ
สินค้าไทย 573 รายการ คิดเป็นมูลค่าโดยประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 39,650 ล้านบาท ว่าจะกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตร-อาหาร และ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากน้อยเพียงใด?

กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน 

บัวแก้ว และบัวแก้ว 2

ตั้งแต่ต้นปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.) ผลตอบแทนของกองทุนเปิดบัวแก้ว และบัวแก้ว 2 อยู่ที่ 5.36% และ 5.84% ตามลำดับ ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ 7.55% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก กลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกมากที่สุด ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจสัตว์บก ราคากลับมาฟื้นตัวได้ดี การแพร่ระบาดของโรค ASF ในจีนและเวียดนาม ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น ส่วนกลุ่มเครื่องดื่ม เรื่องการขึ้นภาษีน้ำหวาน ไม่ได้กระทบอะไร เพราะกลุ่มนี้เตรียมรับมือมานานแล้ว) และ พลังงานและสาธารณูปโภค (กลุ่มพลังงานได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและกลุ่มสาธารณูปโภคได้รับอานิสงส์จาก แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยหรือ PDP ของกระทรวงพลังงาน ที่หนุนให้ผู้ประกอบการณ์สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและมีการขยายไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสเติบโต)

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงานและสาธารณูปโภค ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พาณิชย์ ลงเล็กน้อย เป็นต้น

บัวหลวงโครงสร้างพื้นฐาน

ตั้งแต่ต้นปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.) ผลตอบแทนของกองทุนเปิดบัวหลวงโครงสร้างพื้นฐานอยู่ที่ 15.07% และเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ 7.55% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก กลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ธุรกิจบริการโทรศัพท์มือถือสถานการณ์ต้นทุนที่ผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ) และ ขนส่งและโลจิสติกส์ (ความต้องการเดินทาง ฟื้นตัวตามท่องเที่ยว ต้นทุนน้ำมันเริ่มผ่อนคลาย)

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงานและสาธารณูปโภค ขนส่งและโลจิสติกส์ ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

บัวหลวงธนคม

ตั้งแต่ต้นปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.) ผลตอบแทนของกองทุนเปิดบัวหลวงธนคมอยู่ที่ 8.22% และเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ 7.55% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก กลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ธุรกิจบริการโทรศัพท์มือถือสถานการณ์ต้นทุนที่ผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ) และ เงินทุนและหลักทรัพย์ ความต้องการสินเชื่อขยายตัว โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อยานพาหนะ ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกนั้น ปรับเพิ่มอย่างช้าๆในปีนี้ ควบคู่ไปกับความคืบหน้าของเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ)

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม ธนาคาร เงินทุนและหลักทรัพย์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามลำดับ

บัวหลวงทศพล

ตั้งแต่ต้นปี 2562 (ม.ค.-ก.ย.) ผลตอบแทนของกองทุนเปิดบัวหลวงทศพลอยู่ที่ 6.85% และเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) อยู่ที่ 7.55% และหากอ้างอิงสัดส่วนลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก กลุ่มอุตสาหกรรมที่บวกมากที่สุด ได้แก่ ขนส่งและโลจิสติกส์ (ความต้องการเดินทาง ฟื้นตัวตามท่องเที่ยว ต้นทุนน้ำมันเริ่มผ่อนคลาย) และ พลังงานและสาธารณูปโภค (กลุ่มพลังงานได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและกลุ่มสาธารณูปโภคได้รับอานิสงส์จาก แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยหรือ PDP ของกระทรวงพลังงาน ที่หนุนให้ผู้ประกอบการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและมีการขยายไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสเติบโต)

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มความระมัดระวังในการประเมินโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนมากเป็นพิเศษ ในช่วงผันผวนระยะสั้น และยังคงกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มของกิจการที่ดี มีระดับราคาเหมาะสม โดยผ่านการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณรวมถึงการติดตามการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆอย่างสม่ำเสมอ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม ขนส่งและโลจิสติกส์ การแพทย์ ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงานและสาธารณูปโภค เป็นต้น

ทั้งนี้ การเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมหรือรายบริษัท จะขึ้นอยู่กับกรอบนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆด้วย

ผลการดำเนินงานและความผันผวนของผลการดำเนินงาน ณ 30 ก.ย. 2562