ทรัมป์กับไบเดน : ใครจะดีกว่าสำหรับตลาดหุ้น

ทรัมป์กับไบเดน : ใครจะดีกว่าสำหรับตลาดหุ้น

โดย…ทนง ขันทอง

ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และตัวแทนพรรคเดโมแครต ผู้ใดจะดีกว่าสำหรับตลาดหุ้น?

ทรัมป์ ออกมาขู่ผู้ลงคะแนนเสียงชาวอเมริกันในวันจันทร์ (6 กรกฎาคม) ที่ผ่านมาว่า ถ้าพวกเขาอยากจะเห็นเงินบำนาญที่ออมในรูป 401 (k) และหุ้นแตกสลายหายไปวับ ก็ให้หย่อนคะแนนเลือก โจ ไบเดน

ทรัมป์ต้องออกอาการเป็นธรรมดา เพราะว่าโพลล่าสุดที่ทำโดย Monmouth University Poll ระหว่างวันที่ 26-30 มิถุนายน ชี้ให้เห็นว่า ไบเดนนำห่างทรัมป์ 12 จุด โดยคนอเมริกันบอกว่าจะเลือกไบเดน 53% เทียบกับ 41% ที่บอกว่าจะเลือกทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดที่สร้างภาพตัวเองว่าเป็นร่างทรงของตลาดหุ้นเหมือนกับทรัมป์ เขาเขียนทวิตเตอร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นนับร้อยๆ คร้ัง บางคร้ังเหมือนกับการชี้นำตลาด

ในช่วง 3 ปีแรกของการเป็นประธานาธิบดีระหว่าง 2017-2019 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนโดยรวม 52.2% หรือ 15.0% ต่อปี นับได้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลกในยุคทองของทรัมป์ เนื่องจากนโยบายลดภาษี 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ช่วยให้บริษัทมีเงินเหลือในการซื้อหุ้นคืน และสภาพคล่องโดยรวมยังดีสำหรับตลาดหุ้น

แม้ว่าทรัมป์จะมีเรื่องทะเลาะกับนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ช่วงแรก เพราะว่า เฟดต้องการดึงดอกเบี้ยขึ้น และลดสภาพคล่องในระบบการเงินหลังจากดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมานานตลอดระยะเวลา 2 สมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แต่ท้ายที่สุดพาวเวลล์ทนแรงกดดันของตลาดไม่ได้ต้องล้มเลิกการปรับอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสมดุล และหันมาลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนตลาดหุ้นต่อไป

ทรัมป์ ออกอาการลิงโลดว่า เขามีอำนาจเหนือเฟด ทำให้เฟดต้องเปลี่ยนเกียร์นโยบายการเงินมาเป็นแบบผ่อนคลายได้ เพราะว่าไม่มีประธานาธิบดีคนใดก่อนหน้านี้พยายามแทรกแซงการทำงานของเฟดเหมือนกับทรัมป์

เข้ามาปี 2020 เกิดเหตุการณ์ผลิกผัน เนื่องจากเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้ต้องชัตดาวน์เศรษฐกิจเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ มีปัญหา จีดีพีติดลบ ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางล้มละลาย ตัวเลขคนว่างงานทะลุ 40 ล้านคน

ในเดือนมีนาคม เฟดรีบกดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0% พร้อมกับอัดสภาพคล่องเพื่อซื้อทรัพย์สินการเงินเกือบทุกอย่างเพื่อพยุงความมั่งคั่งโดยรวมของคนอเมริกัน เพราะว่าเงินบำเหน็จบำนาญ เงินของกองทุนประกันภัย เงินออมส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้นทั้งนั้น

ตลาดหุ้นดาวโจนส์มีการปรับตัวลงแรงกว่า 23% ในไตรมาสแรกของปี 2020 แต่ตลาดมีการรีบาวด์ในช่วงปลายเดือนมีนาคมจากการแทรกแซงของเฟด ทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 6 กรกฎาคม ตลาดหุ้นดาวโจนส์มีผลตอบแทน -7.89%

นักวิเคราะห์ส่วนมากที่ต้องการให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกคร้ัง เพราะว่านโยบายของทรัมป์เป็นมิตรกับตลาดมากกว่านโยบายของไบเดน แต่เจพี มอร์แกนมองสวนทางว่า ถ้าไบเดนชนะการเลือกตั้ง จะมีผลกลางๆ หรือบวกเล็กน้อยสำหรับตลาดหุ้น

นโยบายของไบเดนจะกลับมาขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% โดยจะยกเลิกการลดภาษีบางส่วนของรีพับลิกันที่ทำในปี 2017 และจะให้มีการเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำ

เจพี มอร์แกนยังมองต่อไปว่าไบเดนจะมีท่าทีที่จะประนีประนอมมากยิ่งขึ้นกับจีน โดยจะผ่อนคลายกำแพงภาษีที่ทรัมป์ตั้งขึ้นมาเพื่อสกัดการนำเข้าจากจีน และไบเดนจะหันมาเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

ไม่ว่าทรัมป์หรือไบเดน ใครก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งจะเจอศึกหนักทั้งในและนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้โควิด-19 หายไป การปั๊มเศรษฐกิจให้ฟื้น การลดอัตราการว่างงาน การช่วยให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางกลับมา แทนที่จะมุ่งเน้นในการรักษาทรัพย์สินทางการเงินอย่างเดียว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงาน ส่วนศึกนอกที่เป็นหลักคือการรักษาสถานภาพความเป็นผู้นำโลกของสหรัฐฯ ที่เสื่อมถอยไปมาก รวมท้ังการต่อกรกับจีน รัสเซีย และสหภาพยุโรปที่มีการดำเนินนโยบายสวนทางกับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น