ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่1)

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่1)

Ian Bremmer นักเขียนของนิตยสาร Time (Nov 13, 2017) เขียนบทความ “Advantage China” หรือ “จีนที่ได้เปรียบ”เพื่อวาดภาพให้คนอ่านเห็นว่า ตรงกันข้ามกับที่คนส่วนมากคาดคิด เศรษฐกิจของจีนที่มีรัฐบาลเป็นตัวนำถูกสร้างขึ้นมาเป็นจุดแข็ง และหาได้เป็นจุดอ่อนไม่ โดยเศรษฐกิจจีนถูกออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ชนะในอนาคต

นิตยสาร Time เอาเรื่องนายเอียนขึ้นปก โดยพาดหัวว่า China Won แปลว่าจีนชนะแล้ว

นายเอียนเขียนว่า เดิมทีมีการมองกันว่า โมเดลของเศรษฐกิจจีนที่ใช้การผสมผสานระหว่างอำนาจนิยมและทุนนิยม (authoritarian-capitalist model) ไม่น่าที่จะอยู่รอด หรือเจริญรุ่งเรืองได้ในโลกของกลไกตลาดเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ5ปีที่แล้ว มีความเห็นพ้องต้องกันในโลกตะวันตกว่าสักวันหนึ่งจีนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการปฏิรูปการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อที่จะให้รัฐบาลมีความชอบธรรม หรือมุ่งไปสู่ระบบที่เสรีมากขึ้น เพราะว่าจีนจะไม่สามารถรักษาระบบทุนนิยมที่รัฐบาลเป็นผู้ดูแลกำกับได้

แต่ที่ไหนได้ นายเอียนยอมรับว่า ทุกวันนี้ ระบบการเมือง และเศรษฐกิจของจีนมีความพร้อม และยั่งยืนมากกว่าระบบของสหรัฐที่มีอิทธิพลเหนือระบบเศรษฐกิจโลกตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่2เสียอีก

ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความสามารถของจีนที่จะใช้บริษัทที่รัฐบาลดูแลกำกับเพื่อที่จะสร้างอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งในเวทีในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เป็นที่แน่นอนว่าภายในปี 2029 เศรษฐกิจของจีนจะมีขนาดใหญ่แซงหน้าสหรัฐตามการศึกษาของ Center for Economics and Business Research

มันเป็นไปได้อย่างไร ที่จีนจะใช้เวลาเพียง 50 ปีเท่านั้น ระหว่างปี 1979  ถึงปี 2029 ในการแซงหน้าสหรัฐ โดยเริ่มต้นจากซากปลักหักพังของการปฎิวัติภายในประเทศ และการปิดประเทศกลับมาฟื้นตัว และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกแทนสหรัฐ

เศรษฐกิจของจีนเป็นมิราเคิ้ลจริงๆ โดยไม่มีประชาธิปไตยเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

ในปี 1979 เติ้ง เสี่ยวผิงประกาศเปิดประเทศยกเลิกแนวทางคอมมิวนิสต์แนวอนุรักษ์นิยมที่ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ มาใช้แนวทางทุนนิยมแทน แต่ในทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงกุมอำนาจเด็ดขาดอยู่เหมือนเดิม ผลก็คือ ต่างชาติเอาเงินมาลงทุนในจีนเพราะว่าต้องการได้ตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่า 1,000 ล้านคน รวมทั้งค่าแรงงานของจีนถูกอีกด้วย ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานของโลก และเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าภาคอุตสาหกรรมเกือบทุกอย่าง

จีนก๊อปปี้เทคโนโลยี่ของต่างชาติทุกชิ้น และ เรียนรู้เร็วมาก ทำให้ตอนนี้จีนมีเทคโนโลยี่ทุกอย่างอยู่ในมือพร้อมแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโลกตะวันตกอีกต่อไป

ประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางมาเยือนเอเชียระหว่างวันที่ 3-12 พฤศจิกายน 2017 เพื่อส่งสัญญานให้จีนและให้โลกได้รับทราบว่า อิทธิพลในภูมิภาคเอเชียนี้สหรัฐต้องมาก่อน ไม่ใช่จีน

มีการเตรียมสกริ๊ปให้ทรัมป์บอกกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ว่านโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (America First) ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐจะยอมสูญเสียอิทธิพลในภูมิภาคให้กับจีน

แต่เมื่อทรัมป์มาถึงเอเชีย เขาพบความจริงว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวในปี 2017 โดยโตที่ 6.9%ยังเข้มแข็งที่สุดในโลก จีนค้าขายกับทุกประเทศ และกำลังสร้างระเบียบการค้าหรือเศรษฐกิจโลกใหม่ที่จีนจะเป็นศูนย์กลางของเศรษบกิจโลกในศตวรรษที่ 21

หลังจากเสร็จสิ้นการเยือนเอเชีย ทรัมป์พบว่าเขากลับบ้านมือเปล่า ไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าอำนาจการต่อรองของจีนไม่ได้ด้อยกว่าสหรัฐอีกต่อไป

ทรัมป์จะบีบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเรื่องเกาหลีเหนือและเรื่องที่สหรัฐขนาดดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล ก็ทำอะไรไม่ได้ถนัดมือ

นาย Ian Bremmer แห่งนิตยสาร Time เขียนว่า ผู้นำของมหาอำนาจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ตุรกี และอินเดีย กำลังเดินความเป็นผู้นำของจีนด้วยการสร้างระบบที่รัฐบาลกำกับและดูแลการค้าและเศรษฐกิจ

จีนเดินตามแนวนโยบายสังคมนิยมแบบจีนๆมาตลอดโดยหันหลังให้เสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้จีนมีผู้นำที่เข้มแข็งมาก คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนโยบายจีนสามารถสร้างชาติใหม่ให้เข้มแข็งไล่ทันมหาอำนาจโลกตะวันตกได้

ในขณะเดียวกันโมเลของเสรีนิยมประชาธิปไตยของสหรัฐกลับทำให้สหรัฐมีผู้นำที่อ่อนแอที่สุดในเวลานี้ เพราะว่าการเมืองในกรุงวอชิงตัน ดีซีมีการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างเข้มข้น จนทำให้ดูเหมือนว่าจะผ่านนโยบายอะไรออกไปจะถูกฝ่ายตรงกันข้ามถล่มตลอดเวลา

พวกอเมริกันและยุโรปต่างคาดคิดว่าการพัฒนาของมุษย์ในระยะยาวแล้วจะมุ่งสู่เสรีนิยมประชาธิปไตย แต่นายเอียนแห่งTimeตั้งคำถามว่า “พวกเขาคิดเรื่องนี้ผิดได้หรือไม่?”

ตะวันตกเริ่มยอมรับแล้วว่าประธาชาธิปไตยอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย โมเดลของจีนที่รัฐบาลเข้มแข็งเป็นผู้นำกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้จีนพัฒนาขึ้นมาแซงหน้าโลกตะวันตก