โพลของ The Financial Times ให้ ‘โจ ไบเดน’ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โพลของ The Financial Times ให้ ‘โจ ไบเดน’ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โดย…ทนง ขันทอง

The Financial Times สื่อของอังกฤษได้ทำการสำรวจคะแนนจากผู้แทนรัฐ (electoral votes) ที่ชี้ชะตาผู้ใดจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปรากฎผลออกมาว่า โจ ไบเดน จะชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน นี้

รายงาน “Biden vs Trump: Who is leading the 2020 US election polls?” (21/8/2020) ชี้ว่า ไบเดน ซึ่งได้ตอบรับการเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการแล้วในสัปดาห์นี้ที่เวทีประชุมระดับชาติของพรรคจะได้คะแนนจากผู้แทนของรัฐ 298 เสียง เทียบกับทรัมป์ที่จะได้ 119 เสียงตามโพล ถ้าหากว่าการเลือกตั้งมีขึ้นในวันนี้

สหรัฐฯ มีระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีทางอ้อม โดยมีทั้งคะแนนความนิยมจากประชาชน (popular votes) และคะแนนจากผู้แทนของรัฐ (electoral votes) ผู้ที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไม่จำเป็นต้องได้คะแนนความนิยมมากที่สุด แต่ต้องได้คะแนนจากผู้แทนของรัฐอย่างน้อย 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง

ตามธรรมเนียมปฏิบัติผู้แทนของรัฐ (electors) ทั้ง 50 รัฐ จะเทคะแนน (electoral votes)ให้ผู้ที่ชนะคะแนนความนิยมในรัฐ ของตัวเองทั้งหมด โดยที่จำนวนคะแนนของผู้แทนขึ้นอยู่กับสัดส่วนประชากรในรัฐ

The Financial Times รายงานว่า ไบเดนมีคะแนนจากผู้แทนของรัฐค่อนข้างแน่นอน 194 เสียง คือได้จากแคลิฟอร์เนีย (55 เสียง) นิวยอร์ค (29 เสียง) อิลลินอยส์ (20 เสียง) นิวเจอร์ซีย์ (14 เสียง) วอชิงตัน (12 เสียง) แมสซาชูเซตส์ (11 เสียง) แมริแลนด์ (10 เสียง) คอนเนตทิคัต (7 เสียง) ออริกอน (7 เสียง) นิวเม็กซิโก (5 เสียง) ฮาวาย (4 เสียง) นิวแฮมป์เชียร์ (4 เสียง) โรดไอแลนด์ (4 เสียง) ดีซี (3 เสียง) เดลาแวร์ (3 เสียง) เวอร์มองต์ (3 เสียง) เมน (2 เสียง) เมน-1 (1 เสียง)

ส่วนรัฐที่มีคะแนนผู้แทนของรัฐโน้มเอียง (leaning) มายังไบเดนมีทั้งหมด 104 เสียงรวมกันคือ ฟลอริด้า (29 เสียง) เพนซิลเวเนีย (20 เสียง) มิชิแกน (16 เสียง) เวอร์จิเนีย (13 เสียง) วิสคอนซิน (10 เสียง) โคโลราโด (9 เสียง) เนวาดา (6 เสียง) เนแบรสกา-2 (1 เสียง)

ส่วนทรัมป์มีคะแนนจากผู้แทนของรัฐที่ค่อนข้างแน่นอน 80 เสียงรวมกัน มาจาก เทนเนสซี (11 เสียง) แอละแบมา (9 เสียง) เคนทักกี (8 เสียง) ลุยเซียน่า (8 เสียง) โอคลาโฮมา (7 เสียง) อาร์คันซอ (6 เสียง) มิสซูรี่ (6 เสียง) เวสต์เวอร์จิเนีย (5 เสียง) ไอดาโฮ (4 เสียง) มอนตานา (3 เสียง) นอร์ทดาโคตา (3 เสียง) เซาธ์ดาโคตา (3 เสียง) ไวโอมิง (3 เสียง) เนแบราสกา (2 เสียง) เนแบราสกา (1 เสียง) เนแบรสกา (1 เสียง)

คะแนนของผู้แทนของรัฐที่โน้มเอียงมาทางทรัมป์ทั้งหมด 39 เสียงคือ อินดีแอนา (11 เสียง) มิสซูรี่ (10 เสียง) ไอโอวา (6 เสียง) แคนซัส (6 เสียง) ยูทาห์ (6 เสียง)

ยังคงเหลือคะแนนเสียงของผู้แทนรัฐที่จะสู้กันในรัฐ ที่จะต้องต่อสู้กัน( battleground states) ที่มีคะแนนทั้งหมด 121 เสียง คือเท็กซัส (38 เสียง) โอไฮโอ (18 เสียง) จอร์เจีย (16 เสียง) นอร์ทแคโรไลนา (15 เสียง) แอริโซนา (11 เสียง) มินนิโซตา (10 เสียง) เซาท์แคโรไลนา (9 เสียง) อาลาสก้า (3 เสียง) เมน-2 (1 เสียง)

โดยรวม The Financial Times คาดการณ์ว่า ไบเดนจะชนะทรัมป์ในรัฐที่ต้องลุ้นกันในวันเลือกตั้งกันเลยทีเดียว

สำหรับการทำโพลคะแนนความนิยมที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วไบเดนนำห่างทรัมป์มาตลอดประมาณ 7 ถึง 8 จุด โดยล่าสุดไบเดนได้ 50.5% ส่วนทรัมป์ได้ 42.1%

คะแนนความนิยมในทรัมป์ตกลงไปเนื่องจากคนอเมริกัน โดยเฉพาะคนผิวขาวที่สูงวัยเป็นกังวลใจกับเรื่องการระบาดของโคโรนาไวรัส และไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารจัดการไวรัสของทรัมป์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของเศรษฐกิจที่ซบเซาที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนอเมริกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดี