กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF)

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF)

Highlight ประจำไตรมาส 4Q2020

  1. พื้นฐานของบริษัทในกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยีมีความแข็งแกร่งมาก โดยในไตรมาส 4Q2020 มีการเร่งตัวทางด้านนำเทคโนโลยีมาใช้กับกระบวนการตัดสินใจในภาคการบริโภคและภาคองค์กร ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือ บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ อี-คอมเมิร์ซ และอินเทอร์เน็ต ขณะที่ผู้เสียประโยชน์คือ ผู้ให้บริการทางด้านไอทีแบบดั้งเดิมและผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสาร เพราะค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ชะลอตัว และได้รับอิทธิพลจากปัจจัยมหภาค
  2. ระดับมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคฯ ไม่อาจจบลงด้วยคำเพียงคำเดียวว่าแพงหรือถูก เพราะประกอบด้วยบริษัทและอุตสาหกรรมย่อยที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่ดำเนินกิจกรรมหรือกิจการแตกต่างกันออกไป มูลค่าเมื่อวัดจากราคาตลาดเทียบกำไรสุทธิจึงแตกต่างกัน แต่โดยภาพรวมหุ้นกลุ่มเทคฯ ซื้อขายระดับ 20-30 เท่า สูงกว่าดัชนีตลาดโดยภาพรวม ด้วยเหตุผลทางด้านอัตราการเติบโตและอัตราการทำกำไรสุทธิระดับสูง เมื่อเทียบกับช่วงไอทีบับเบิลระหว่าง ค.ศ. 1999-2000 หุ้นในกลุ่มเทคฯ ซื้อขายสูงระดับ 40- 50 เท่า และหากพิจารณาเฉพาะหุ้น Mega cap ในตอนนี้ เช่นบริษัท Alphabet บริษัท Microsoft บริษัท Apple กับหุ้นเทคฯ ในปี ค.ศ. 2000 หุ้นกลุ่มเทคฯ ณ ปัจจุบันมีราคาถูกกว่าในตอนนั้น
  3. หุ้นเทคฯ ในกลุ่มซอฟต์แวร์มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอานิสงส์ของสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เริ่มมีราคาแพง ในทางตรงกันข้ามหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ในกลุ่มอินเทอร์เน็ต กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มอุปกรณ์ด้านการสื่อสาร ยังมีระดับราคาน่าสนใจ
  4. ผู้จัดการกองทุนหลัก Fidelity Global Technology Fund กล่าวว่าหุ้น Growth stock ในกลุ่มธุรกิจ cloud , e-commerce, Artificial Intelligence (AI) ตลาดไม่ค่อยมีความเข้าใจด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ราคาหุ้นซื้อขายในระดับราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพเติบโตของมันเอง ปัจจุบันกองทุนหลัก overweight กลุ่มดังกล่าว และยังมีกลุ่มอินเทอร์เน็ต กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มมีเดีย กลุ่มเกมส์ แต่ Underweight หุ้นกลุ่มซอฟต์แวร์ กลุ่มฮาร์ดแวร์ กลุ่มบริการทางด้านไอที (เพราะผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทในกลุ่มนี้ไม่ได้มีจุดเด่นในแง่ของการสร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่งในสนามเดียวกัน)
  5. กองทุนหลักบริหารพอร์ตแบบเปิดกว้างกับการลงทุนทุกรูปแบบในแง่ Style, Momentum, Quality, Liquidity และ Size แต่ปัจจุบันมีลักษณะ Underweight หุ้นโมเมนตัม (หรือเรียกว่า Anti-momentum bias) และ Underweight หุ้นเติบโต (Growth Stock) เนื่องจากพยายามหลีกหนีหุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้นแรงในปีนี้ หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นบริษัทซึ่งเป็นที่เป็นรู้จักกันดีและตกอยู่ในกระแสของสื่อ นักลงทุนรายย่อยชื่นชอบหุ้นที่มี Story ดีเลิศ จึงลงทุนกับหุ้นบริษัท PayPal หุ้นบริษัท Shopify หุ้นบริษัท Apple หุ้นบริษัท Microsoft เนื่องจากมองว่าหุ้นเหล่านี้น่าจะปลอดภัย ลงทุนแล้วสบายใจ ทำให้ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีต่ำกว่า peer group ทั้งที่ถือครองหุ้นในกลุ่มที่อุตสาหกรรมมีการควบรวมกิจการ เช่น บริษัท UBER บริษัท Delta Technologies แล้วก็ตาม
  6. ผู้จัดการกองทุนหลักให้ความเห็นกับบริษัท Apple ว่าเป็นธุรกิจที่ร่ำรวยสร้างกระแสเงินสดได้มาก หุ้นซื้อขายระดับ 30 เท่า สะท้อนศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของไอโฟนที่ออกมารองรับเครือข่าย 5G ทำรายได้สูงสุดในรอบ Cycle ท่ามกลางตลาดสมาร์ทโฟนที่อิ่มตัว ราคาไอโฟนที่ตั้งราคาขายต่อเครื่องไว้สูงอยู่แล้วทำให้ไม่น่าจะตั้งสูงกว่านี้เพราะจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ขณะที่บริษัทเริ่มมีต้นทุนปรับตัวขึ้น ดังนั้นในอีก 3-5 ปี กำไรสุทธิต่อหุ้นไม่น่าปรับขึ้นได้มากกว่านี้ เหตุผลที่ว่านี้กองทุนหลักจึง Underweight บริษัท Apple 6.2% (vs Index 18.1%)
  7. ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ว่าประเด็นพิพาทระหว่างกันจะคงดำเนินต่อไป กองทุนหลักเลือกที่จะลงทุนในบริษัทที่มีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ เป็นธุรกิจที่ไปได้สวยโดยไม่ต้องกังวลเรื่องราวทางการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสอง ตัวอย่างเช่น บริษัท Qualcomm ตลาดมองว่าบริษัทจะไปไม่รอดจากสงครามระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่ในที่สุดบริษัท Qualcomm ไปเจรจาพูดคุยกับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ได้รับข้อยกเว้นขอกลับมาทำธุรกิจกับบริษัท Huawei โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ จะเสียดุลการค้าเยอะมากหากปล่อยให้บริษัท Huawei ไปดีลกับผู้ผลิตชิปเซ็ตต่างชาติอย่างบริษัท Samsung หรือบริษัท MediaTek เพราะบริษัท Huawei ไม่สามารถผลิตชิปเซ็ต Kirin ของตัวเองได้เนื่องจากบริษัท ARM บริษัท TSMC ถูกรัฐบาลสหรัฐฯกีดกันทำการค้าขายกับบริษัท Huawei จนท้ายที่สุดแล้วบริษัท Huawei และ Qualcomm ได้เซนต์สัญญาบรรลุข้อตกลง license agreement มูลค่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเป็นข้อตกลงทางสิทธิบัตรในการให้บริษัท Qualcomm ผลิตชิปสื่อสาร
  8. กองทุนหลักติดตามสร้างความสัมพันธ์กับบริษัท IPO ที่จะเข้าตลาดในกลุ่มคลาวด์และเกมส์ มีการลงทุนหุ้น IPO ที่เข้าตลาดชื่อบริษัท Snowflake ซึ่งทำธุรกิจ “data warehouse-as-a-service” บริษัท Unity ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกมส์สำหรับสมาร์ทโฟน
  9. กองทุนหลักหันกลับมาลงทุนหุ้นกลุ่ม FAANG (Facebook Alphabet Amazon Netflix) อีกครั้งในไตรมาส 4Q2020 เพราะตลาดกังวลประเด็นทางด้านกฏระเบียบทำให้ระดับมูลค่ากลับมาสมเหตุสมผลกว่าช่วงก่อนหน้า บริษัทเหล่านี้เป็น Winner ในธุรกิจที่ตัวเองดำเนินอยู่ สามารถสร้างรายได้ กำไร และเงินสดได้อย่างยั่งยืน
  10. กองทุนหลักให้น้ำหนักมากกับบริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เป็นอันดับแรกเพราะนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มเทคฯ ต่อจากนี้ เช่น Artificial Intelligence, Electric Vehicles, smarter cars, IoT, etc. นวัตกรรมเทคโนโลยีเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ใช้เซมิคอนดักเตอร์และที่สำคัญคืออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีการควบรวมกิจการทำให้เหลือผู้เล่นน้อยรายเป็นอุปสรรคต่อผู้เล่นรายใหม่ ส่งผลดีต่ออัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น
  11. ธีมที่เน้นก็คือ
    1. Electric Vehicles เพราะอุตสาหกรรมอยู่ในระยะแรกของการเข้าถึงความสำคัญของพลังงานสะอาดเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลังความสำเร็จของบริษัทเทสลา ทำให้ค่ายรถยนต์หันมาผลิตโมเดล EV เข้าสู่ตลาดคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 1-3 ปีนับจากนี้
    2. โครงข่ายด้านการสื่อสารโทรคมนาคม 5G เพราะเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการสร้างเครือข่าย 5G ซึ่งจะกินระยะเวลาไปอีก 3-5 ปีนับจากนี้
    3. Online travel and agents เพราะการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนักสุดจากสถานการณ์ COVID-19 มุมมองในระยะกลางไม่มีอะไรเข้าทดแทนความต้องการการเดินทางได้ เมื่อวัคซีนได้รับการผลิตและสถานการณ์คลี่คลาย หุ้นที่ลงทุนล่าสุดคือ บริษัท Uber บริษัท Booking.com บริษัท Rolls Royce (มีวิวัฒนาการด้วยการใช้ Digital IT เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้า), บริษัท Marriott ซึ่งคาดว่าภายในไม่เกิน 1 ปีนับจากนี้ราคาหุ้นจะฟื้นตัวแรง
  12. มุมมองในปี ค.ศ. 2021 ถ้าวัคซีนได้รับการพัฒนาจนสามารถผลิตให้ใช้ได้ เศรษฐกิจดีขึ้น คนกลับมาเดินทาง หุ้นวัฏจักรจะได้รับอานิสงส์ ขณะที่หุ้นที่เคยได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ COVID-19 จะปรับตัวลดลงแรงและสร้างผลตอบแทนได้ไม่ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นหุ้นเทคโนโลยีไม่ได้มีเพียงกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยที่ได้ประโยชน์จาก COVID-19 เพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ผลประกอบการเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับวัฏจักร ดังนั้น Active fund จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบการลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงในปี ค.ศ. 2021

ปัจจัยบวกและลบต่อการลงทุนหุ้นกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยี

(+) เราดำเนินชีวิตอยู่ในช่วงของการปฎิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4th industrial revolution) ซึ่งเป็นยุคที่นำเทคโนโลยีมาเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทำให้ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น หลายประเทศพบผู้ใช้งานแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้น 20-30% ช่วงเกิดการระบาดของ COVID-19 แอปพลิเคชันคือทุกอย่างของผู้คน ตั้งแต่ใช้ส่งข้อความ ชอปปิง ชำระเงิน เดินทาง อาหารการกิน ออกกำลังกาย

(+) 10 ปีจากนี้จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจนถึงจุดที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ แพลตฟอร์ม โมเดลธุรกิจแบบใหม่ ในแทบทุกอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์ สาธารณูปโภค เคมี พลังงาน ค้าปลีก ไม่นับรวมเฮลธ์แคร์ สถาบันการเงิน ที่เป็นอุตสาหกรรมแรกๆ ของการเปิดรับเทคโนโลยีเข้ามา

(+) กลุ่มเทคโนโลยียังมี quantum computing, neural interface, solid-state batteries ซึ่งมีศักยภาพที่เหลือเชื่อในการยกระดับเศรษฐกิจโลกนวัตกรรมเกิดใหม่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่นับรวม artificial intelligence, Internet of Things, 3D Printing, drones ณ ปัจจุบัน

(+) Data center เป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยข้อมูลที่มากขึ้นจากบริการ cloud ทำให้ธุรกิจต้องสร้างแพลตฟอร์มด้วยการลงทุนทางด้าน Data center คาดว่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นระดับ 10-20% ต่อปีถัดจากนี้ ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโต

(-) หากวัคซีน COVID-19 สามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพ เป็นไปได้ว่าจะมีการ Rotate ออกจากกลุ่มแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ Work from Home ไปยังกลุ่มวัฏจักรเช่น เซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า ท่องเที่ยวออนไลน์

กองทุนหลัก (Master Fund)

ชื่อ: Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD

นโยบายการลงทุน: เป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก ที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการหรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี

วันที่จดทะเบียน: 23 กุมภาพันธ์ 2017 (Share class Y-ACC-USD)

ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก

สกุลเงิน: USD

เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI AC World Information Technology (N)

Morningstar Category: Large cap core growth

Bloomberg code: FFGTYAU LX

Fund size: 8,833 Million USD (end of September)

Number of positions in fund: 62

* Source: https://www.bblam.co.th/application/files/8916/0327/2839/Professional_Factsheet_FF_-_Global_Technology_Fund_Y-ACC-USD_092020.pdf

ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2020)

ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต