BF Knowledge Tips: ปรับพอร์ตฝ่าวิกฤตการลงทุน

BF Knowledge Tips: ปรับพอร์ตฝ่าวิกฤตการลงทุน

โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM BBLAM

เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะผันผวน   และส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเรา ทำให้เราต้องปรับพอร์ตการลงทุนไปตามสภาวะตลาดกันอยู่บ่อยๆ โดยในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา เราได้ผ่านทั้ง “วิกฤตโรคระบาด (Covid-19)” จนทำให้ทุกประเทศต้องปิดเมือง (Lock Down) และส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลก ต้องหยุดชะงักไปตามๆ กัน ซึ่งก็ได้สะท้อนออกมาผ่านตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงไปเฉลี่ยกว่า 22% (ที่มา : MSCI All Country World Index) แต่หลังจากที่เราเริ่มปรับตัว ปรับใจ และปรับพอร์ตการลงทุนไปบ้างแล้ว  วิกฤตต่อไปก็ตามมา นั่นก็คือ  “วิกฤตเงินเฟ้อ”  ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการรับมือกับวิกฤตโรคระบาด (Covid-19) ของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ประกอบกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีความพยายามที่จะหยุดปัญหาเงินเฟ้อ ด้วยการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็ว ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ  กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย และส่งผลกระทบไปยังทุกประเทศทั่วโลก ทำให้นักลงทุนอย่างเราต้องปรับตัว ปรับใจ และปรับพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง

คำถามคือ  “เราควรจะต้องปรับพอร์ตยังไง? เพื่อให้ฝ่าฟันไปได้ในทุกวิกฤต”  … คำตอบที่ดีที่สุดของคำถามนี้ คือ  “เริ่มที่การปรับใจก่อนเป็นอันดับแรก” เพราะการปรับใจจะช่วยให้เราเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่า ในโลกของการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงที่เกิดจากสินทรัพย์ลงทุนเอง หรือความเสี่ยงที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่เราไม่อาจควบคุมได้  และในหลายๆ ครั้งก็อาจจะคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ สัญญาณทางเศรษฐกิจและการลงทุนต่างๆ  ที่เราเคยได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์ในอดีต ก็อาจจะนำมาใช้ไม่ได้กับโลกในยุคปัจจุบันอีกต่อไป

ตามมาด้วย “การปรับตัวให้เป็นนักลงทุนที่ยืดหยุ่น” เพื่อให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว   ซึ่งในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤตต่างๆ เราควรที่จะ “ตั้งสติก่อนเสมอ” จากนั้นให้ทบทวนเป้าหมายในการลงทุน และลองคิด-วิเคราะห์-แยกแยะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะประเมินว่า เราควรที่จะปรับพอร์ตลงทุนหรือไม่? ซึ่งถ้าหากพิจารณาแล้วว่า วิกฤตนี้ผ่านมาแค่ชั่วคราว เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนเลยก็ได้ และถ้าหากมีเงินเพื่อรอลงทุนอยู่แล้ว ก็อาจจะใช้ช่วงเวลาที่เป็นวิกฤตนี้ เข้าซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีที่ได้รับกระทบในช่วงวิกฤตนี้ก็ได้ เรียกได้ว่า เป็นโอกาสทองในการเข้าเก็บสะสมของดีในราคาที่ย่อมเยา

สุดท้าย คือ “การปรับพอร์ตลงทุนฝ่าฟันวิกฤต” สังเกตได้ว่า ไม่ได้ใช้คำว่า “ฝ่าฟันได้ในทุกวิกฤต”  เพราะในความเป็นจริง วิกฤตที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ต่างก็ส่งผลกระทบต่อตลาดลงทุนที่แตกต่างกันออกไป โดยหลังจากที่เราทบทวนเป้าหมาย และประเมินแล้วว่าควรปรับพอร์ตลงทุน เราสามารถเริ่มจากการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มหรือลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในช่วงที่เกิดวิกฤต  นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือปานกลาง มักจะปรับลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน ด้วยการลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างตราสารหนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสินทรัพย์ในการลงทุนมีความซับซ้อนมากขึ้น อย่างการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างตราสารหนี้ เราก็ต้องศึกษาเรื่องความเสี่ยงของผู้ออกตราสารหนี้ (Investment Grade) ด้วย

ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก ในช่วงวิกฤตแบบนี้  อาจไม่จำเป็นต้องปรับลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างหุ้น  แต่อาจพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ที่ประเมินแล้วว่าราคาน่าจะปรับตัวลงมาแค่ชั่วคราว หรืออาจจะเลือกปรับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่ลงทุน โดยเข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ดูทรงแล้วว่า น่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็ว หลังจากที่วิกฤตเริ่มคลี่คลาย เรียกได้ว่า พอฝุ่นหายตลบก็จะมองเห็นแสงสว่างได้ก่อนใคร ซึ่งการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่ลงทุนนี้  น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีกว่าการที่เราขายออกมาถือเงินสด แล้วไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรดี

และสุดท้ายสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม อาจพิจารณาเลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนผสมแบบยืดหยุ่น  และบริหารเชิงรุก (Active Fund) อย่าง BBLAM  เราก็มีกองทุนผสมกลุ่ม B-MAPS  ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยช่วยผสมผสาน  จัดสัดส่วนการลงทุน รวมถึงคัดเลือกสินทรัพย์การลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาให้กับเราได้