Fund Comment มีนาคม 2566: ภาพรวมตลาดหุ้น

Fund Comment มีนาคม 2566: ภาพรวมตลาดหุ้น

ภาพรวมตลาดหุ้น

ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนมากในระหว่างเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ด้วยแรงขายหนักในธุรกิจภาคการเงินทั่วโลก โดยมีจุดเริ่มต้นจากการล่มสลายของธนาคารในสหรัฐฯ 3 แห่งภายในเวลาไม่กี่วัน หนึ่งในนั้น คือ ธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้นเหตุสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องทำให้ตราสารหนี้ที่ธนาคารไปลงทุนมีการขาดทุนทางบัญชีขึ้น และทำให้ผู้ฝากเงินขาดความเชื่อมั่นจนเกิดการแห่ถอนเงิน ตามมาด้วยความกังวลต่อเสถียรภาพของธนาคารเครดิตสวิส แต่หลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ได้เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นด้วยการรับประกันเงินฝากของธนาคารที่มีปัญหา และธนาคาร UBS ได้เข้าควบรวมกิจการของเครดิตสวิส ทำให้ความกังวลของนักลงทุนจากประเด็นเหล่านี้บรรเทาลงไป และราคาหุ้นสามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้

หลังจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตระหนักถึงผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยที่มีต่อสถาบันการเงิน ทั้งในด้านความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นต่อสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น และความเข้มงวดมากขึ้นต่อการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะกดดันภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการบริการของเดือนมีนาคมที่ออกมาต่ำกว่าคาด ล้วนทำให้ความเสี่ยงของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีมากขึ้น ส่งผลต่อมุมมองของตลาดว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดน่าจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว นอกจากนี้ หลังการเปิดประเทศ เศรษฐกิจของจีนนั้นก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง ดังนั้น ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจโลกจึงเป็นปัจจัยหลักที่ต้องจับตามากขึ้น

ในเดือนมีนาคม SET Index ปรับตัวลดลง 0.81% โดยลงไปต่ำสุดมากกว่า -6% ในระหว่างเดือน ตามความผันผวนของตลาดหุ้นโลก ซึ่งนอกจากปัจจัยความกังวลภายนอก หุ้นในหลายอุตสาหกรรมยังถูกกดดันจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งก็อาจจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวได้ดีนักในไตรมาส 1/2566 ที่กำลังจะทยอยประกาศ จึงต้องฝากความหวังไว้กับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปี คาดว่า SET Index น่าจะอยู่ในลักษณะ Side-ways ไปอีกสักพักหนึ่ง ส่วนระดับมูลค่าการขายของนักลงทุนต่างชาติที่ขายหุ้นไทยมาตลอดในเดือนกุมภาพันธ์ นับว่าลดลงบ้างในช่วงท้ายของเดือนมีนาคม ทั้งนี้ เรามองว่าปัจจัยความกังวลจากเศรษฐกิจภายนอกประเทศ มีผลไม่มากนักต่อบริษัทที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศไทย และถ้ามีการย่อตัวของดัชนีหุ้นไทยเกิดขึ้น น่าจะเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาไม่ได้แพงมาก เช่น ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจการแพทย์ ธุรกิจธนาคาร เป็นต้น