หุ้นวอลสตรีทร่วง หลังมูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารมะกัน 10 แห่ง

หุ้นวอลสตรีทร่วง หลังมูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารมะกัน 10 แห่ง

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ดัชนีหุ้นหลักทั้ง 3 ตัวของตลาดหุ้นวอลสตรีท รวมถึงหุ้นของบรรดาธนาคารในประเทศสหรัฐอเมริกาปรับลดลงในวันที่ 8 สิงหาคม หลังบรรดานักลงทุนยังคงแสดงความกังวลต่อสภาพคล่องของธนาคารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลังมูดี้ส์ (Moody’s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐฯ ขนาดเล็กและขนาดกลาง 10 แห่งลง 1 อันดับ และยังประกาศรายชื่อธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ 6 แห่งไว้ในบัญชีที่จะพิจารณา ซึ่งอาจมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตามมาอีกด้วย

มูดี้ส์ได้ออกมาเตือนว่า ธนาคารสหรัฐฯ จะทำกำไรได้ยากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนทางการเงินยังคงพุ่งสูง รวมถึงมีสัญญาณของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และยังมีข้อห่วงกังวลของความเสี่ยงของธนาคารบางแห่งเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์อีกด้วย

ภายหลังจากที่มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารระดับภูมิภาคสหรัฐฯ ดัชนีหุ้น S&P 500 Banks ลดลง 1.1% ขณะที่ดัชนี KBW Regional Banking Index ลดลง 1.4% ด้านหุ้นของธนาคารที่ถูกมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อาทิ M&T Bank, Pinnacle Financial Partners และ BOK Financial Corp ก็พากันปรับตัวลดลงที่ระหว่าง 1.7-2.1%

ขณะที่ธนาคารที่ถูกจัดให้อยู่ในรายการให้มีการพิจารณาเพื่ออาจมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือก็ปิดตลาดที่ตัวแดงเช่นกัน อาทิ Bank of New York Mellon และ Truist Financial ที่ลดลง 1.3% และ 0.6% ตามลำดับ ด้านหุ้นของธนาคารเจ้าใหญ่อย่าง Goldman Sachs และ Bank of America ก็ปรับลดลงที่ราว 1.9% เช่นกัน

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 158.64 จุด หรือ 0.45% อยู่ที่ 35,314.49 และดัชนีหุ้น S&P 500 ลดลง 19.06 จุด หรือ 0.42% อยู่ที่ 4,499.38 และหุ้นแนสแดค คอมโพสิต ลดลง 110.07 จุด หรือ 0.79% อยู่ที่ 13,884.32

ไมค์ เมโย นักวิเคราะห์ธนาคารของ Wells Fargo ให้ความเห็นว่า นักลงทุนได้ลดความคาดหวังเกี่ยวกับผลประกอบการของธนาคารในอนาคต ขณะที่ ตลาดได้คาดการณ์บางปัจจัยบางประการที่มูดี้ส์ได้ระบุไว้แล้วเช่นกัน “เราอาจกำลังอยู่ในช่วงท้ายของช่วงขาลงนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานาน และโอกาสของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย มันแตกต่างจากช่วงวิกฤตทางการเงินเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ธนาคารภูมิภาคของสหรัฐฯ 3 แห่งปิดกิจการ เพราะนี่เป็นปัญหาจากอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจถดถอย และมีความเสี่ยงมากกว่า”

นอกจากในสหรัฐฯ แล้ว หุ้นของธนาคารในยุโรปก็ร่วงลงเช่นกัน หลังรัฐบาลอิตาลีอนุมัติการจัดเก็บภาษีลาภลอย 40% จากกำไรที่ธนาคารต่างๆ ได้รับจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยหุ้นของธนาคารเจ้าใหญ่ของอิตาลีอย่าง Intesa Sanpaolo, Banco BPM และ UniCredit ปรับลดลงระหว่าง 5.9-9% ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ดัชนีหุ้นธนาคารยุโรปลดลง 3.54% โดยนักวิเคราะห์ของ Citigroup คำนวณว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้กำไรสุทธิของปี 2023 ของธนาคารอิตาลีหายไปเกือบ 1 ใน 5 ขณะที่ Bank of America คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสร้างเม็ดเงินให้กับรัฐบาลอิตาลีถึง 3 พันล้านยูโร หรือราว 1.15 แสนล้านบาท

ที่มา: รอยเตอร์