BBLAM Weekly Investment Insights 18-22 กันยายน 2023

BBLAM Weekly Investment Insights 18-22 กันยายน 2023

The Rise of Asia

INVESTMENT STRATEGY

By BBLAM

“ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว สภาพคล่องในระบบที่ลดลง Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูง กดดัน Valuation ของตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงเกินไป ถึงแม้จะเป็นจังหวะสะสมหุ้นที่มีเทรนด์เติบโตระยะยาว แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยแวดล้อม ผลตอบแทนของตราสารหนี้เมื่อเทียบกับความเสี่ยงจูงใจกว่าหุ้นเช่นกัน”

สัปดาห์นี้ คุณวันภาสิริ  พัฒนกิจการุณ จาก Fund Management BBLAM มาพูดถึงว่า ทำไมกองทุนตราสารหนี้เป็น “ผู้ชนะ” และจำเป็นต้องมีในพอร์ตในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ถึงแม้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาหุ้นสหรัฐฯจะฟื้นตัวขึ้นมา

ภาพรวมตลาดการลงทุนครึ่งปีแรกนั้น ถึงแม้ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นได้ดีกว่าคาด จากปัจจัยหนุนทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่ได้แย่ลงตามที่เคยคาดไว้ และยังคงมีการเติบโตที่ดี ได้แก่ ดัชนีภาคการบริการ การใช้จ่ายภาคการบริโภค และอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำ  อัตราดอกเบี้ยในตลาดที่เพิ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มผ่านพ้นจุดสูงสุด ตามรายงานดัชนี CPI ทั่วไปเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเหลือเพียง 3.2% จากจุดสูงสุดกว่า 9% ในปีที่แล้ว ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่ Fed จะยุติการดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินในปีนี้

แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะจากภาคบริการ หลังเงินออมส่วนเกิน (Excess Savings) หมดลง ประกอบกับสภาพคล่องในระบบที่ลดลง Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยกดดัน Valuation ของตลาดหุ้น มีมูลค่าสูงเกินไป นักวิเคราะห์ประเมินว่า Forward P/E ของดัชนี S&P500 ควรเทรดที่ระดับต่ำกว่า 17 เท่า ต่ำกว่าปัจจุบันที่ 19 เท่า และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เป็นปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้น

ความสนใจของปีนี้ นักวิเคราะห์ทั้งหลายจึงได้มองมาที่ พันธบัตร ที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าหุ้น จากกระแสรายรับดอกเบี้ยที่่ปรับตัวสูงขึ้นในทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มตราสารหนี้ภาครัฐ (Global Treasury) ตราสารหนี้เอกชนในกลุ่ม Investment Grade Credit และตราสารหนี้ High Yield ที่ให้อัตราผลตอบแทนในปัจจุบันที่ระดับ 5% 5.7% และ 8.5% ตามลำดับ และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (Capital Gains) ตามวงจรดอกเบี้ยนโยบายใกล้ถึงจุดสูงสุดและมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยปัจจุบัน Bond Yield อายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนสูงถึง 4.2% ต่อปี ในขณะที่คาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นหรือ Earnings Yield ของ S&P500 ซึ่งเป็นส่วนกลับของ Forward P/E ลดลงมาต่ำกว่า 5% ส่งผลให้ส่วนต่างของคาดการณ์ผลตอบแทน (Earnings Yield Gap) ลดลงมาต่ำลงอย่างต่อเนื่องในรอบ 20 ปี บ่งชี้ว่าอัตราผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงพันธบัตรมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น จากในสภาวะปัจจุบันที่ตลาดมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นมากเกินไป

ถึงแม้ภาคตลาดการเงิน จะมีปัจจัยกดดันจากการที่ Fitch Ratings ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ (Long-Term Foreign Currency Issuer Default Rating) ลง 1 ระดับ จาก AAA มาสู่ระดับ AA+ จากความความกังวลต่อสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความเสี่ยงจากประเด็นการเจรจาขยายเพดานหนี้ที่ล่าช้าหลายครั้งที่ผ่านมา ซึ่งการปรับลดอันดับครั้งนี้อาจไม่ได้ส่งผลลบต่อความน่าเชื่อถือมากนัก เห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงของส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (Spreads) ระหว่างอัตราผลตอบแทน OIS (การแลกเปลี่ยนระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) กับอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate)) ซึ่งเทียบเคียงได้กับการฝากเงินกับ Fed ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังทรงตัวใกล้เคียงกับก่อนการประกาศ ไม่ได้ผันผวนเหมือนตอนที่ถูกปรับลดครั้งก่อนในปี 2011 และในมุมมองของผู้ซื้อตราสารหนี้ อันดับเครดิตระหว่าง AAA และ AA+ ถือว่าไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น ในเกณฑ์มาตรฐาน Basel กำหนดอันดับ AAA และ AA+ อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน ทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนสำรอง หรือขายพันธบัตรออก หรือในแง่ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินดออลาร์สหรัฐฯ ยังถือว่ามีความเชื่อถือมากกว่าสกุลเงินอื่น เนื่องจากการทำธุรกรรมระหว่างประเทศส่วนใหญ่กว่า 70% อยู่ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรมีความต้องการเสมอ  และประเด็น Moody’s ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ ลง ยังเป็นความเสี่ยงเฉพาะ ผลกระทบคาดว่าจะมีจำกัดมาก และเป็นปัจจัยระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อราคาไม่มาก เนื่องจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังเป็นตลาดการเงินขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

การลงทุนในตราสารหนี้ จึงถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับความผันผวนในตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการถือครองตราสารหนี้ มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และมีโอกาสขาดทุนต่ำ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย สามารถป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจถดถอยได้ นักลงทุนจึงควรกระจายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนส่วนหนึ่งมาที่ตราสารหนี้เพื่อปกป้องเงินลงทุน

BBLAM แนะนำกองทุน

กองทุนลงทุนตราสารหนี้เน้นยืดหยุ่น : B-DYNAMIC BOND และ กองทุนลดหย่อนภาษี : B-DYNAMICRMF และ B-DYNAMICSSF 

กองทุนลงทุนหุ้นญี่ปุ่น : B-NIPPON 

กองทุนลงทุนอินเดีย : B-BHARATA หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-INDIAMRMF

กองทุนลงทุนในเทคโนโลยี แต่พยายามเฟ้นหาหุ้นเทคฯพื้นฐานดี มูลค่ายังน่าลงทุน : B-INNOTECH หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF

กองทุนลงทุนเน้นเทรนด์ที่จะมาในอนาคต เช่น AI : B-FUTURE หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-FUTURERMF และ B-FUTURESSF

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/18-22-2023