กองทุน B-FLEX, B-ACTIVE, B25RMF และ BFLRMF Q3/2023

กองทุน B-FLEX, B-ACTIVE, B25RMF และ BFLRMF Q3/2023

กองทุนเปิดบีเฟล็ซ์ (B-FLEX) กองทุนเปิดบีแอ็คทีฟ (B-ACTIVE) กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้น 25% เพื่อการเลี้ยงชีพ (B25RMF) และกองทุนเปิดบัวหลวงเฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BFLRMF)

ตราสารหนี้
• ในเดือนก.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และไม่ค่อยเคลื่อนไหวตามตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในโหมด wait-and-see ทั้งรอการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงต้นเดือนส.ค. และรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล
• เมื่อวันที่ 3 ส.ค. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 25bps สู่ระดับ 2.25% ตามคาดการณ์ในวงกว้างของตลาด ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 เนื่องจาก ธปท. ส่งสั ญญาณต้องการสร้าง Policy space เพื่อรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่อยู่ในระดับสูง ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะทยอยปรับดีขึ้นในระยะถัดไป ในขณะที่เงินเฟ้อชะลอลงและมีแนวโน้มทรงตัว แต่ยังคงมีความเสี่ยงด้านสูง
• ในส่วนของตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ Fed มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 25 bps สู่ระดับ 5.25 – 5.50% ภาพรวมถ้อยแถลงหลังประชุมแทบไม่แตกต่างจากการประชุมเมื่อครั้งก่อนในเดื อนมิ.ย. โดยยังมองภาพการจ้างงานที่แข็งแกร่ง และอัตราการว่างงานในระดับต่ำ ขณะที่ยังมองกิจกรรมเศรษฐกิจขยายตัว ด้านเงินเฟ้อยังมองว่าเติบโตในระดับสูง สำหรับนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า นั้น Fed ยังคงเน้นย้ำว่าขึ้นอยู่กับ 1) การดำเนินนโยบายการเ งินที่เข้มงวดที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 2) ความล่าช้าของระยะเวลาที่
นโยบายการเงินจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และ 3) พัฒนาการเศรษฐกิจและการเงิน
• แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะต่อไป การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นใน เดือน ส.ค. เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด และคาดว่าหลังจากนี้ กนง. น่าจะติดตามแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทย เพื่อพิจารณาปรับ ดอกเบี้ยขึ้นเพิ่มเติมหากเหมาะสม อย่างไรก็ดี การที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงเริ่มกลับสู่แดนบวก ทำให้โอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องแบบช่วงที่ผ่านมามีจำกัดมากขึ้น


ตราสารทุน
• ภาพรวมตลาดหุ้นโลกในเดือนกรกฎาคมปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.9% สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมา โดยหลายฝ่ายได้คาดการณ์ว่า โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ในปีนี้และปีหน้านั้นลดลง และตัวเล CPI ของสหรัฐในเดือนมิถุนายนปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% YoY ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ทยอยปรับตัวลดลง ส่งผลให้ธนาคารกลางมีแนวโน้มพิจารณาหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอีกไม่ช้า นอกจากนี้ ในเดือนที่ผ่านมายังเป็นช่วงฤดูการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ในสหรัฐ ซึ่งบริษัทต่างๆ สามารถทำกำไรออกมาได้ดีกว่าตลาดคาด โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ในขณะที่หุ้นในกลุ่ม Growth มีผลประกอบการที่คละกัน
ไป อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาณทางเศรษฐกิจและผลประกอบการจะออกมาค่อนข้างดี แต่ราคาหุ้นหลายตัวกลับเริ่มปรับตัวลดลงสะท้อนให้เห็นถึงการที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนความคาดหวังของตลาดไปค่อนข้างมาก ทั้งในแง่การเติบโตของยอดขายและกำไรของบริษัท ในส่วนตลาดหุ้นจีน ตัวเลข GDP ที่ออกมาก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดมีความคาดหวังว่า จะเห็นมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมามีปริมาณที่มากขึ้น และขนาดที่ใหญ่ขึ้น โดยล่าสุดจากการประชุม Politburo ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนัก ลงทุนอีกครั้ง และยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับตลาดจีนต่อจากนี้ แม้ว่าจะยังมีข่าวความเสี่ยงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นระยะๆ ก็ตาม ด้านสหรัฐฯ การบรรลุข้อตกลงการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ทำให้ความกังวลต่อการผิดชำระหนี้ของสหรัฐฯได้คลี่คลายออกไป ยังมีเรื่องโอกาสที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังออกมาแข็งแกร่ง และยังคงมองว่าปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังไม่สิ้นสุดลง

• ตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,556.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อน โดยดัชนีได้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากมีการปรับตัวลงแรงในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ของ SET Index อยู่ที่ 6.7%
• ในเดือน ก .ค. ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 21.2% จากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น DELTA ซึ่งรายงานกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ดีกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้มาก กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้ ร้า 7.5% และกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 5.2% ในขณะที่ กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต 4.2% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 3.3% และกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 3.3% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนมิถุนายนนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1.3 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.4 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 0.3 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.6 หมื่นล้านบาท
• ปัจจัยภายในประเทศ น่าจะมีน้ำหนักต่อความผันผวนของตลาดมากกว่า ซึ่งตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยความหวังในการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้นในช่วงต้นเดือน รวมถึงผลประกอบการในประเทศที่เริ่มทยอยประกาศออกมา ในกลุ่มธนาคารที่เห็นการเติบโตของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ( NIM) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่งบการเงินออกมาดีกว่าตลาดคาด รวมทั้งการฟื้นตัวของราคาน้ำมันซึ่งเป็นผลบว กต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นแรงหนุนทำให้ SET ฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงครึ่งเดือนหลัง แต่ผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ในไตรมาส 2 ยังไม่โดดเด่น ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังมีอยู่ และตัวเลขเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ทั้งตัวเลขส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ ยวจีนยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาด อีกทั้งการไม่มีมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลได้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนโดยเฉพาะต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย จึงเป็นแรงกดดันให้ตลาดไทยกลับมา Underperform เมื่อเทียบกับตลาดโลก โดยประเด็นที่ต้องติดตามต่อจากนี้ คือ ความชัดเจนทางการเมือง ที่มีผลโดยตรงต่อความผันผวนของตลาดเนื่องจากส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน รวมถึงการออกนโยบายต่างๆ ที่จะมาผลักดันเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้


• ปัจจัยหลักภายนอก ได้แก่ การกลับมาเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งจากการที่ซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันและรัสเซียประกาศลดการส่งออกน้ำมันในช่วงต้นเดือน การที่นักลงทุนคาดหวังว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นหลังทางการจีนประกาศเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการคาดหวังว่า FED จะหยุดวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้ผลักดันให้ราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมันปรับขึ้นตามด้วย ส่วนราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นได้แรงหนุนจากส่วนต่างค่าการกลั่นในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
• กลยุทธ์การลงทุน และมุมมองในไตรมาส 3/2566 ยังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน ในขณะที่การส่งออกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเราได้เห็นสัญญาณบวกจากการที่การส่งออกพลิกกลับเติบโตในเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นกับการท่องเที่ยวที่แม้ว่าจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี แต่สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนยังช้าตามเศรษฐกิจประเทศจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ซึ่งที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอัตราใช้จ่ายสูง เมื่อเทียบกับ
นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ทำให้เมื่อสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนลดลง รายได้จากการท่องเที่ยวอาจจะต่ำกว่าในอดีตที่ ผ่านมาแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวก็ตาม


พอร์ตการลงทุน
ไตรมาสที่ผ่านมา
B-FLEX: กองทุนเพิ่มน้ำหนักกา รลงทุนตราสารหนี้อายุไม่เกิน 1 ปีทั้งพันธบัตรและหุ้นกู้ โดยลดตราสารหนี้อายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป อายุเฉลี่ยของพอร์ต ( Portfolio duration) ลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย และกองทุนได้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย โดยลดน้ำหนักหุ้นกลุ่ม มีเดีย ธนาคาร พลั งงาน และอิเล็คโทรนิคส์ โดยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่ม พาณิชย์ และ อสังหาริมทรัพย์
B-ACTIVE: ในไตรมาส 2 กองทุนได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรอายุไม่เกิน 1 ปี และลดส่วนในหุ้นจาก 54% ณ สิ้นไตรมาสก่อน เป็น 47% โดยได้ลดสัดส่วนหุ้นในกลุ่ม ขนส่ง ธนาคาร มีเดีย และพลังงาน แต่ได้ลงทุนเพิ่มในหุ้นกลุ่ม พาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร

B25RMF: กองทุน เพิ่มน้ำหนัก หุ้นกู้อายุ ไม่เกิน 3 ปี และ ลดน้ำหนักพันธบัตรอายุ สั้น ปานกลาง โดย อายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio duration) ลดลง เล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ในส่วนของหุ้น กองทุนเพิ่มน้ำหนักในหุ้น กลุ่มพลังงาน ขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และยานยนต์ และโดยลดน้ำหนักในหุ้นกลุ่ม ธนาคาร พาณิชย์ อาหาร สื่อสาร และ อิเล็กทรอนิกส์
BFLRMF: กองทุนเพิ่มน้ำหนักพันธบัตรและหุ้นกู้อายุไม่เกิน 1 ปี โดย ลดน้ำหนักพันธบัตร และหุ้น กู้ ที่อายุมากกว่า 1 ปี ในส่วนของหุ้น กองทุนเพิ่มน้ำหนักในหุ้นกลุ่ม ขนส่ง ยานยนต์ และธนาคาร โดยลดน้ำหนักในหุ้นกลุ่ม มีเดีย โรงพยาบาล วัสดุอุตสาหกรรม และอิเล็กทรอนิกส์

Disclaimer: เอกสารนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ครบถ้วน หรือความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ และบริษัทฯ อาจเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เอกสารนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มิได้มีวัตถุประสงค์ชักชวน ชี้นำ ให้ความเห็น
หรือคำแนะนำในการตัดสินใจลงทุนทางการเงิน หรือการตัดสินใจในทางธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังและวิจารณญาณจาก การใช้ข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดของเอกสารฉบับนี้ ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุนใน
กองทุน RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผล การดำเนินงานในอนาคต