เกษียณก่อนได้ ไม่ต้องรอ 55

โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา AFPTTM

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน

BF Knowledge Center

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่อยากรวยเร็วๆ    รวมถึงต้องการที่จะเกษียณอายุการทำงานเร็วๆ  คือต้องการเกษียณก่อนอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี    โดยมีสาเหตุหลักคือ “ต้องการอิสรภาพในการใช้ชีวิต”   เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยากเกษียณเร็วก็คือ “มนุษย์เงินเดือน” ที่แต่ละวันหมดเวลาไปกับการทำงานในออฟฟิศ  ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด  ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจต้องการ      เวลาเข้า-ออก ในการทำงานใกล้เคียงกัน ต้องใช้ชีวิตเบียดเสียด รีบเร่ง  ทั้งรีบนอน  รีบตื่น  รีบกิน  รีบออกจากบ้าน ฯ    สิ่งเหล่านี้ล้วนบั่นทอนกำลังใจ และทำให้มนุษย์เงินเดือนโหยหาอิสรภาพ    จึงเป็นที่มาของความพยายามสร้างความมั่งคั่งคือ ทำให้ตัวเองรวยเร็วๆ  เพราะเชื่อว่าการมีเงินจะสามารถไถ่อิสรภาพให้พ้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน

ความคิดเรื่องเกษียณอายุก่อนกำหนดจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัว  เพราะหากถามย้อนกลับไปยังทุกคนก็เชื่อว่า  “ถ้าเลือกได้… เราก็อยากมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต  โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน”   ทางออกสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไปจึงหนีไม่พ้นการสุ่มตัวเลขทุกๆ 15 วัน  เผื่อว่าฝันนั้นจะเป็นจริง    แต่จนแล้วจนเล่าก็ได้แต่ฝัน      ทั้งนี้ อย่าลืมว่าการเกษียณอายุก่อนกำหนดเป็นสิ่งที่เราเลือกเองได้ว่าจะให้เกิดขึ้นตอนไหน?  การวางแผนทางการเงินจึงเป็นทางเลือกที่ดี    โดยข้อแนะนำเพื่อการเกษียณอายุก่อนกำหนดมีดังนี้

 

กดเพื่อรับชมวิดีโอ
กษียณก่อนได้ ไม่ต้องรอ 55

1) ต้องเริ่มต้นออมอย่างหนักหน่วง

ตามปกติแล้ว สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไปแนะนำให้ออมอย่างน้อย 10% ของเงินได้ในแต่ละเดือน แต่หากเราต้องการที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนด   อาจต้องเพิ่มการออมให้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็ต้อง 20%
ขึ้นไป   เพราะอย่าลืมว่าการเกษียณคือ  ช่วงเวลาของการใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีรายได้จากเงินเดือนอีกต่อไป แต่รายจ่ายนั้นยังคงมีต่อไปตราบสิ้นอายุขัย       นั่นหมายความว่า ยิ่งอยากเกษียณไวเท่าไหร่?  ก็ต้องยิ่งออมให้มากขึ้น    หรืออาจลองหารายได้อื่นเพิ่มเติมเพื่อเป็น Second source of income ในการสร้างรายได้เพิ่มเติมในช่วงที่เรายังมีแรงกำลัง   รวมถึงพยายามสร้างรายได้จาก Passive income ให้มากที่สุด

2) อายุเรายืนมากกว่าที่คิด

ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์พัฒนาไปมาก  รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิต (Life Style) ของคนสมัยใหม่ก็ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น    การคาดการณ์อายุขัยของตัวเองมีความสำคัญมากสำหรับการวางแผนทางการเงิน   เพราะทำให้เราทราบว่า “เรามีระยะเวลาเท่าไหร่?  ในการใช้เงินโดยที่ไม่มีรายได้”  ซึ่งหากเรามีอายุที่ยืนยาวก็แน่นอนว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมาก      โดยปกติแล้วการคำนวณอายุขัยจะแนะนำ
ให้ดูว่าคนในครอบครัวที่มีเพศเดียวกับเราและอายุยืนมากที่สุด  จากนั้นให้บวกไปอีกสิบปี  เท่ากับอายุขัยเฉลี่ยของตัวเรา     ดังนั้น เชื่อเถอะว่าเราจะมีอายุที่ยืนยาวมากกว่าที่เราคิด  ดีไม่ดีอายุยืนถึง 100 ปีด้วยซ้ำไป

3) อย่าฝากความหวังไว้ที่ใคร

“ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” พุทธสุภาษิตที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี  สามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณได้เช่นกัน   เพราะเมื่อคิดที่จะเกษียณก่อนกำหนดก็ต้องมั่นใจว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างตลอดรอดฝั่ง   ไม่ใช่หวังไว้เสมอว่า “น่าจะมีคนช่วยหากเราตัดสินใจผิด”    เพราะสิ่งที่หวังอาจไม่ได้เป็นดังใจหวัง   อย่างที่คุณใหม่ เจริญปุระ บอกไว้ว่า “อย่าฝากความหวังที่ฉันจนเกินไป เพราะฉันไม่ได้มีทุกอย่างที่ควรจะต้องรอ อย่าฝากความฝันให้ฉันคอยดูแล ถึงแม้ภายในใจจะรักเธอ หมดตัวและหัวใจ แต่คงไม่ดีเพียงพอ…”   ที่ไม่ช่วย ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่เงินมีไม่พอเหมือนกัน     ดังนั้น ท่องไว้เสมอว่าเมื่อตัดสินใจเกษียณแล้วอย่าทำตัวเราให้เป็นภาระจนถูกทอดทิ้ง

4) ค่ารักษาพยาบาลน่ากลัวที่สุด

ตอนที่ยังทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน   ส่วนใหญ่บริษัทจะมีสวัสดิการเรื่องค่ารักษาพยาบาลเอาไว้ให้  มากบ้าง  น้อยบ้าง  แตกต่างกันไป       ดังนั้น หากตัดสินใจเกษียณอายุก่อนกำหนด นั่นหมายความว่า เราได้จัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาลเอาไว้แล้ว    โดยเงินส่วนนี้แนะนำให้จัดสรรแยกต่างหากจากค่าใช้จ่ายทั่วไปสำหรับวัยเกษียณ    ส่วนจะจัดสรรไว้มากน้อยเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของเราว่าอยากได้รับบริการแบบไหน?   การประเมินความเสี่ยงในการเป็นโรคร้ายซึ่งอาจพิจารณาจากประวัติของคนในครอบครัว และการประเมินสุขภาพของตัวเอง      โดยประมาณการค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 20 – 25% ต่อปี

5) เงินก้อนรักษายาก

ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า “เงินก้อนรักษายาก”  แม้ว่าจะมีเงินตามที่วางเป้าหมายเอาไว้แล้ว   นั่นเป็นเพราะระหว่างทางเราอาจต้องเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย  เช่น คนในครอบครัวมีเหตุต้องใช้เงินด่วน หรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่เราไม่สามารถควบคุมได้    ทางออกที่ดีสำหรับปัญหานี้ คือ จัดสรรเงินส่วนหนึ่งของเราให้ทำงานอยู่เสมอ  ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม   และพยายามสร้างรายได้จาก Passive income  เพื่อให้เกิดรายรับเข้ามาอย่างสม่ำเสมอในช่วงเกษียณ

6) เตรียมเงินแล้ว อย่าลืมเตรียมใจ

ในช่วงแรกของชีวิตเกษียณเชื่อว่าส่วนใหญ่มีความสุขมากกกกก… ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสรภาพ แต่เชื่อเถอะว่าหลังจากนั้นไม่นานก็จะไม่สดชื่นเหมือนเดิม      จากการสอบถามผู้เกษียณส่วนใหญ่บอกว่า “รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า”   สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะการทำงานเป็นการอธิบายถึงการมีตัวตนของเรา  เมื่อหยุดอธิบายตัวเองก็เป็นไปได้ว่าคนจะค่อยๆ ลืมเรา  และการถูกลืมนี่เองที่ทำให้รู้สึกไร้ค่า    ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่ชุบชีวิตให้สดใสอีกครั้งคือ การทำงาน   โดยอาจปรับเปลี่ยนมาทำฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของธุรกิจ เพื่อใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง  รวมถึงยังเป็นการสร้างรายได้อีกด้วย

การวางเป้าหมายที่จะเกษียณก่อนอายุ 55 ปีหรือ 60 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะเป็นเรื่องดีอยู่แล้วที่เราจะสามารถมีอิสรภาพในการใช้ชีวิตได้ตามที่เราต้องการ   เพียงแต่การที่จะทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้  และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั้น  จำเป็นต้องวางแผนทางการเงินให้รอบคอบ และคิดให้รอบด้าน    โดยหลักๆ แล้วคือ การบริหารจัดการเงินให้มีเพียงพอใช้ตลอดจนหมดอายุขัย  และการมีเงินก้อนเพียงก้อนเดียวนั้นอาจดูเสี่ยงเกินไป  สำหรับการใช้ชีวิตท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เราไม่อาจควบคุมได้    การสร้างรายได้จาก Passive income   จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เรายังมีรายรับเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ    เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตดีๆ ในช่วงเกษียณ (แต่ยังไม่สูงวัย) ได้อย่างมีความสุขนั่นเอง