B-BHARATA 3Q2018

B-BHARATA 3Q2018

สรุปประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจอินเดียในเดือน มิ.. 2018

เดือน มิ.ย. หุ้นอินเดียปรับตัวลดลง -1.24% จากการปรับตัวลดลงของหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง เหตุจากเงินรูปีที่อ่อนค่าลงหลังราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นผนวกกับความกังวลต่อสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิจำนวน 2.1 พันล้านดอลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ: ลดลงจาก 423 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (แต่ยังสูงกว่า 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อปลายปีที่แล้ว)

ค่าเงินรูปี: เงินรูปีร่วงลง 7.5% เทียบดอลลาร์สหรัฐฯ (YTD) เนื่องจากดุลบัญชีการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบโลกสูงขึ้น 16% ตั้งแต่ต้นปี อินเดียนำเข้าน้ำมันดิบกว่า 80% ของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งประเทศ ดังนั้นราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทุกๆ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯจะทำให้ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้พบเงินทุนไหลออกทั้งตลาดตราสารทุนและตราสารหนี้

ผลตอบแทนหุ้นอินเดีย: หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุ ให้ผลตอบแทนลดลง ขณะที่หุ้นในกลุ่มไอทีสร้างผลตอบแทนดีอันเนื่องมาจากเงินรูปีอ่อนค่าส่งผลบวกต่อธุรกิจในกลุ่มนี้

เงินเฟ้ออินเดีย: อัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 4.9% จาก 4.6% ในเดือน พ.ค. จากราคาสินค้ากลุ่มน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 6.2%

ยอดขายรถ: อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์อยู่ในช่วงที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ยอดขายรถยนต์เทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้นในทุกประเภท ประเภทรถโดยสารเพิ่มขึ้น 30% รถแทรกเตอร์เพิ่มขึ้น 30% รถพาณิชย์เพิ่มขึ้น 40% รถมอเตอร์ไซด์เพิ่มขึ้น 20%

ราคาซีเมนต์: ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและความต้องการซีเมนต์ภายในประเทศเพิ่มขึ้นทำให้ราคาซีเมนต์ต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 2.2% จากต้นเดือน มิ.ย. ยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 14.6 พันล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค. จาก 13.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือน เม.ย. ขณะที่โอเปกเซนต์ข้อตกลงร่วมกันในการเพิ่มการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน

อัตราดอกเบี้ย: ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก 6.00% เป็น 6.25% หลังคงดอกเบี้ยมาตลอด 4 ปี คณะกรรมการพิจารณานโยบายการเงินปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี FY2018 ขึ้น 30bp จาก 4.4% เป็น 4.7% คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้ 7.4% เท่าเดิม

ปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นอินเดีย

(+) การถือครองหุ้นและกองทุนรวมหุ้นของคนอินเดียที่ระดับต่ำเพียง 4% ของ GDP มีสัญญาณเร่งตัวส่งผลบวกต่อเม็ดเงินลงทุน ในตลาดหุ้นเห็นได้จากยอดซื้อสุทธิจากกองทุนรวมในประเทศ

(+/-) กำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาต่ำกว่าคาด เป็นผลสืบเนื่องจากการยกเลิกธนบัตรที่ใช้อยู่ในระบบร้อยละ 85 และการปฏิรูปภาษีในปีที่แล้ว ราคาหุ้นที่ลดลงในช่วงนี้ทำให้ดูสมเหตุสมผลขึ้นเดิมที่ซื้อขายในระดับสูง คาดว่าปี FY2018 ปี FY2019 กำไรสุทธิจะเติบโตในอัตรา 20% ต่อปี

(+/-) การเลือกตั้ง 3 รัฐสำคัญๆ ในปลายปี (เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2018) ต่อจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน พ.ค. 2019 จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นอินเดียมีความผันผวนสูงมากเนื่องจากการเมืองปัจจัยสำคัญของตลาดหุ้นอินเดีย

(-) น้ำมันดิบระดับสูงจะส่งผลลบต่อบัญชีดุลการค้า ทำให้เงินรูปีอ่อนค่า กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นและตลาดบอนด์

(-) หากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีสูงขึ้นทำให้กระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (EM) ดังที่เห็นตั้งแต่ต้นปี อินเดียเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเกิดใหม่

(-) หากรายได้การเก็บภาษี (GST Tax Collection) ต่ำกว่าเป้าหมายอาจทำให้รัฐงบขาดดุลงบประมาณเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 3.3% ของ GDP ส่งผลเชิงลบต่อภาพมหภาคอินเดีย

ผลตอบแทนกองทุนหลัก: ในเดือน มิ.ย. ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานอันเนื่องมาจากหุ้นขนาดกลาง (BSE Midcap -19.05%) และหุ้นขนาดเล็ก (BSE Small cap -22.34%) กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นใหญ่/ขนาดกลาง/ขนาดเล็ก เท่ากับ 56%/24%/15% ตามลำดับ

แนวทางการปรับพอร์ต: พอร์ต Defensive มากขึ้น คาดว่าจะคงสัดส่วนหุ้นขนาดใหญ่ (Large cap) ไว้ที่ 55-60% อาทิ บริษัท Reliance Industries Limited, Maruti Suzuki Limited เนื่องจากเป็นหุ้นที่มักให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดมีความเสี่ยงสูงทางด้านมหภาค และจะหาจังหวะเชิงเทคนิคในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์เปลี่ยนทิศ หรือน้ำมันดิบเกิด Correction  เข้าลงทุนหุ้นบางตัวที่ได้รับประโยชน์ สถานะลงทุนปัจจุบันกว่า 67% ของพอร์ตอยู่ในหุ้นสามกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ

ทิศทางตลาดหุ้นอินเดียจากผู้จัดการกองทุนหลัก

(In an interview, Manish Gunwani, CIO, Equity Investments, Reliance Mutual Fund)

ถาม: คุณมองกรอบระยะเวลากี่เดือนเพื่อให้หุ้นในพอร์ตลงทุนฟื้นตัว

จะดีขึ้นหากแรงขายหุ้นขนาดกลางและเล็กหมดรอบลง หุ้นขนาดกลางและเล็ก (Nifty Mid Cap Index) ปรับฐานลงมากว่า -20% แล้วจากจุดสูงสุด

ถาม: คุณคาดว่าอัตรากำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่เท่าไรในปีนี้และปีหน้า

ปี FY2019 (ช่วงเดือน เม.ย. 2018 – มี.ค. 2019) กำไรสุทธิเติบโต 20-22% ต่อปี และปี FY2020 (ช่วงเดือนเม.ย. 2019 – มี.ค. 2020) กำไรสุทธิเติบโต 15-17% ต่อปี

ที่มา: Reliance Asset Management (Singapore) Pte. Ltd, เดือน มิ.ย. 2018

ตลาดหุ้นอินเดีย (SENSEX) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) แต่ราคากองทุนหลักขึ้นมาไม่มาก

เนื่องจากดัชนี SENSEX ขึ้นมาด้วยราคาหุ้นขนาดใหญ่เพียง 5 บริษัท ซึ่งได้แก่ บริษัท Tata Consultancy Services บริษัท Infosys ที่ได้รับประโยชน์จากเงินรูปีอ่อนค่า ทั้ง 2 บริษัทมีรายได้ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สดใสจึงสนับสนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท HDFC Bank และบริษัท Kotak Mahindra Bank ราคาหุ้นมักให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดอินเดียมีความเสี่ยงสูงทางด้านมหภาคเนื่องจากเป็นหุ้นปลอดภัย (Safety Stock) มีคุณภาพ งบการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งผลการดำเนินงานออกมาดี บริษัท Reliance Industry Limited กำไรเติบโตเด่นจากธุรกิจด้านระบบเครือข่ายมือถือ จึงได้รับการปรับ Re-Rating ขึ้นว่า PE ของบริษัทควรจะสูงกว่าที่เป็นอยู่

หุ้นอินเดียมีปัจจัยบวก 4 ประเด็นในทุกภาวะการณ์ คือ

  1. การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง
  2. ความต้องการความเป็นอยู่พื้นฐาน
  3. การเติบโตของเมือง
  4. ศูนย์กลางการผลิต Make in India

ความเสี่ยงอะไรที่นักลงทุนเฝ้าติดตาม

  1. แรงกดดันระยะสั้นจากราคาน้ำมันดิบระดับสูง ซึ่งทำให้งบประมาณขาดดุลจากการที่อินเดียนำเข้าสุทธิน้ำมันจากต่างประเทศ
  2. โมดิจะชนะการเลือกตั้งในปี 2019 หรือไม่คาดว่าตลาดปัจจุบันคาดการณ์ถึงชัยชนะของโมดิไปมากแล้ว
  3. แรงขายหุ้นขนาดกลาง (BSE Midcap Index ผลตอบแทนในปี FY2017 +48.1%) และหุ้นขนาดเล็ก (BSE Small Cap Index ผลตอบแทนในปี FY2017 +60.8%) จากนักลงทุนรายย่อยอินเดียหลังราคาปรับตัวขึ้นมามากในปีที่ผ่านมา

กองทุนหลัก (Master Fund)

ชื่อ: RAMS Equities Portfolio Fund – India Equities Portfolio Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class I (USD)

นโยบายการลงทุน:

มุ่งหาผลตอบแทนจากการเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนในระยะยาวผ่านการลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่จัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในอินเดีย โดยจะลงทุนในตลาดอินเดียไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของ NAV)

วัดที่จดทะเบียน: 17 พฤษภาคม 2016

ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก

สกุลเงิน: USD

เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI INDIA USD

Morningstar Category: Large cap blend

Bloomberg code: RAMUSDI LX

Fund size: USD 206.30 Million

Number of holdings: 33

*ที่มา: Reliance Asset Management (Singapore) Pte Ltd ข้อมูลเดือน มิ.ย. 2018