ผลตอบแทนในระยะยาว กับกองทุนที่ให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาล

ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี ที่บริษัทจัดการกองทุนทั้ง 11 แห่ง ร่วมกันจัดตั้งกองทุนรวมธรรมภิบาลไทย ซึ่งเปิดขายไปแล้ว 6 กองทุน สามารถระดมทุนจากนักลงทุนในประเทศได้แล้วกว่า 2,700 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี หลายท่านอาจยังมีข้อสงสัยว่า “ธุรกิจที่มีศีลธรรม จะมีกำไรดีกว่าธุรกิจที่มุ่งไปที่ผลประโยชน์สูงสุดขององค์กรได้อย่างไร” เรื่องนี้เรามีคำตอบที่จะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น

  1. บริษัทที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพิจารณาเรื่องธรรมาภิบาล จะให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลดีกับมูลค่าของกิจการในระยะยาว
  2. ชื่อเสียงและประวัติการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากบทลงโทษ ซึ่งอาจส่งผลต่อองค์กรเป็นมูลค่ามหาศาลได้
  3. อิทธิพลของ Social Media ในปัจจุบัน ได้กลายเป็นเครื่องมือในการยกระดับจริยธรรม และธรรมาภิบาลในสังคม โดยธุรกิจที่มีไม่เอาเปรียบสังคม จะได้รับการกล่าวถึงอย่างรวดเร็ว ขณะที่การดำเนินธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรมก็จะสามารถถูกแรงกดดันทางสังคมได้ทันทีเช่นกัน
  4. การลงทุนที่มีนโยบายด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing, SRI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตมากกว่า 25% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาหลักทรัพย์ที่มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี

หากจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมธรรมาภิบาลกับตลาดในปัจจุบัน เราจะขอยกตัวอย่างโดยเปรียบเทียบดัชนี iShares MSCI EM ESG Optimized ETF (ESGE) กับดัชนี iShares MSCI Emerging Markets ETF (EEM) ตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนี ESGE วันที่ 20 กรกฎาคม 2559 แสดงให้เห็นว่าในช่วงกว่า 1 ปีตั้งแต่ที่เริ่มมีการจัดทำดัชนีนั้น ดัชนี ESGE สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีไม่แพ้ดัชนี EEM จึงพออนุมานได้ว่าการลงทุนที่เน้นไปที่องค์กรที่มีหลักธรรมาภิบาลที่ดี ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้เช่นกัน

พูนสิน เพ่งสมบูรณ์

Fund Management