Fed เปลี่ยนมาดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดแล้ว…ลงทุนอะไรดี

Fed เปลี่ยนมาดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดแล้ว…ลงทุนอะไรดี

โดย…จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ AFPTTM

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ปีนี้นักลงทุนคงจะได้เห็นทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งในภาวะแบบนี้นักลงทุนบางคนคงจะสงสัยว่า เราจะลงทุนอะไรดีให้เข้ากับทิศทางนี้ วันนี้ BBLAM เตรียมคำตอบดีๆ เอาไว้ให้แล้ว

เมื่อปลายปี 2021 นาย Jerome Powell ประธาน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศเอาไว้ชัดเจนตั้งแต่ปลายปี 2021 ว่า Fed จะทยอยลดการเข้าซื้อสินทรัพย์สภาพคล่องในระบบตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณที่ดำเนินการอยู่ หรือที่เรียกว่า QE Tapering โดยจากเดิมตั้งใจจะลดเข้าซื้อเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ก็จะเพิ่มเป็นลดลงเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งก็จะส่งผลให้การทำ QE สิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2022

และหลังจากที่สิ้นสุดแล้ว Fed ก็จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2022 ซึ่งก็ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed น่าจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ที่ทำ QE จบนั่นเอง

นี่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า Fed กำลังดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดขึ้นแล้ว หลังจากที่ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมานาน

เมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลง จากการที่ Fed ลดการเข้าซื้อสินทรัพย์สภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง ส่วนดอกเบี้ยก็กลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว จึงมีผลต่อการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเราอาจจะเห็นภาวะตลาดที่ผันผวนได้มากขึ้นในปีนี้ ดังนั้นการลงทุนแบบ DCA หรือทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุกงวด เช่น ทุกๆ วันที่เดียวกันทุกเดือน ก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เราไม่ต้องเป็นห่วงกังวลกับภาวะตลาดที่ผันผวนได้

เพราะเราจะได้รับต้นทุนการลงทุนที่สอดคล้องกับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ เวลาที่ตลาดลง ก็ซื้อได้ราคาถูก เวลาตลาดขึ้น อาจได้ต้นทุนที่แพงขึ้น แต่เมื่อนำมาเฉลี่ยต้นทุนโดยรวมแล้ว ก็ไม่ได้แพงเกินไป เมื่อเทียบกับการไปวัดใจซื้อครั้งเดียว

คราวนี้ ก็มาต่อกันที่คำถามว่า เราควรสนใจลงทุนในกลุ่มไหนดี จึงจะได้ประโยชน์จากทิศทางนี้

คุณมทินา วัชรวราทร CFA® Head of Investment Strategy ของ BBLAM ให้คำแนะนำไว้ค่อนข้างน่าสนใจว่า จากการคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการ Fed หรือ Dot Plot เมื่อเดือนธันวาคม 2021 บ่งชี้ว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2022 และ 3 ครั้งในปี 2023 ซึ่ง BBLAM มองว่า หาก Fed ดำเนินนโยบายการเงินไปในทิศทางนี้ ตลาดจะคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และหากไม่ได้มีปัจจัยเพิ่มเติมที่สร้างความกังวลให้ตลาด ตลาดหุ้นจะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี เพราะถึงแม้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง แต่ดอกเบี้ยก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าอดีต และการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ก็เท่ากับดอกเบี้ยจะไปอยู่ที่ 1% เท่านั้นในสิ้นปี 2022

ในสถานการณ์เช่นนี้ คุณมทินา แนะนำว่า กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) ที่ลงทุนในกองทุน Wellington Global Healthcare Fund เป็นทางเลือก เพราะหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ จัดเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive หรือหุ้นเชิงรับ ที่จะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาด ทนทานกับทุกสภาพตลาด เพราะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี

คุณมทินา มองว่า การลงทุนในกลุ่มเฮลธ์แคร์น่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีในปี 2022 เพราะเมื่อปีนี้ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ตลาดย่อมมีความผันผวนสูง ดังนั้นเงินลงทุนก็อาจจะหลบภัยเข้ามาอยู่ในกลุ่มเฮลธ์แคร์ เนื่องจากปี 2021 กลุ่มนี้ ยังทำผลงานไม่โดดเด่นนัก จึงมองเห็นโอกาสไปต่อในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง บริษัทในกลุ่มยาจากเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการให้บริการทางการแพทย์ จะมีความสามารถในการปรับราคาขึ้นได้

ทั้งนี้ มีการทำสถิติออกมาว่า ในปีที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว กลุ่มเฮลธ์แคร์ก็ยังสามารถทำผลงานได้ดีกว่าตลาด หรือ outperform ได้แทบทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม BBLAM มองว่ากรณีที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2022 โดยตลาดมองว่าน่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้งเท่านั้น

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จึงทำให้กลุ่มเฮลธ์แคร์มีปัจจัยเกื้อหนุนมากในปี 2022 บวกกับย้อนดูผลตอบแทนปี 2021 ที่ผ่านมา ก็ยังน้อยกว่าดัชนี S&P500 และมูลค่าหุ้นก็ยังคงปรับลดลงมาห่างจาก ดัชนี S&P500 พอสมควร ขณะที่คาดการณ์ว่ากำไรของทั้งกลุ่มเฮลธ์แคร์ ในปี 2022 จะเติบโตประมาณ 6% และนักวิเคราะห์ยังคงปรับประมาณการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น BCARE จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในสถานการณ์นี้

นอกเหนือจากกลุ่มเฮลธ์แคร์ จะมีปัจจัยด้านเศรษฐกิจสนับสนุนแล้ว ยังมีอีกประเด็นที่ช่วยให้กลุ่มนี้น่าสนใจลงทุน นั่นคือ เทรนด์การรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ไม่ว่าจะก่อนโควิดหรือหลังโควิด คนก็สนใจรักษาสุขภาพ และยิ่งรักษาสุขภาพมากขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เตรียมไว้กับการรักษาสุขภาพก็ดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ขณะเดียวกันกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้คนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น เช่น mRNA ทำให้การคิดค้นยาใหม่ๆ เป็นไปได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีที่ทำให้การตรวจ DNA มีราคาถูกลงเรื่อยๆ ทำให้คนหมู่มากเข้าถึงได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงเชื่อว่าเทรนด์นี้จะอยู่กับการลงทุนอย่างเน้นแฟ้นขึ้นไปอีกหลังโควิด

สำหรับใครที่สนใจจะลงทุนใน BCARE สามารถติดตามอ่านรายละเอียดกองทุนได้ที่ https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/foreign-investment-fund/bcare/summary

 

ข้อมูลในบทความนี้เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงได้โดยทั่วไป และเป็นข้อมูลที่เชื่อว่าน่าจะเชื่อถือได้ แต่ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (“บริษัท”) มิได้ยืนยันหรือรับรองถึงความถูกต้อง หรือสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใด ความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นเพียงการนำเสนอในมุมมองของบริษัท และเป็นความคิดเห็น ณ วันที่ปรากฏในบทความเท่านั้น ซึ่งอาจ เปลี่ยนแปลงได้ภายหลังวันดังกล่าว โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องแจ้งสาธารณชน หรือผู้ลงทุนทราบ บทความฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้น บริษัทไม่รับผิดชอบต่อการนำข้อมูลหรือความคิดเห็นใดๆไปใช้ในทุกกรณี ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรใช้ดุลพินิจในการพิจารณาเนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ผู้ลงทุน ควรศึกษาคู่มือการลงทุนรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพในรายละเอียดด้วย กองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง จะมีผลทําให้มูลค่าหน่วยลงทุนผันผวน และอาจทําให้เกิดกําไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ส่วนกองทุนที่มีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เช่น สัญญาสวอป หรือสัญญาฟอร์เวิร์ด เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ในบางกรณีอาจทําให้กองทุนเกิดการขาดทุนหรือเพิ่มความผันผวนให้กองทุน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรือได้รับกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนตํ่ากว่าเงินลงทุนเริ่มแรกก็ได้ เนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงที่ทางการของ ต่างประเทศอาจออกมาตรการในภาวะที่เกิดวิกฤตการณ์ที่ไม่ปกติทําให้กองทุนไม่สามารถนําเงินกลับเข้ามาในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ลงทุนไม่ได้รับ คืนเงินตามระยะเวลาที่กําหนด สำหรับกองทุนที่มีการลงทุนในกองทุนหลักๆ อาจลงทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารการลงทุน หรือตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง เพื่อให้กองทุนได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด กองทุนเหล่านี้จึงอาจมีความเสี่ยง มากกว่ากองทุนรวมอื่น จึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและสามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่าผู้ลงทุนทั่วไป ในส่วนของข้อมูลผลการดำเนิน งานของกองทุนรวม  ผู้ลงทุนควรตระหนักว่าผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมใดๆ/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ ผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต อนึ่ง การวัดผลการดำเนินงานของกองทุน ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัด ผลการดำเนินงานที่กำหนดโดยสมาคม กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อยที่สามารถลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า Investment Grade เสนอขายเฉพาะแก่ ผู้ลงทุนประเภท Accredited Investors (AI) เท่านั้น