BF Knowledge Tips: ปลายปีกับ RMF และ SSF

BF Knowledge Tips: ปลายปีกับ RMF และ SSF

โดย เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP® BBLAM

เหลือแค่เดือนครึ่งก็จะหมดปีแล้ว ปีนี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และด้วยปัญหาความผันผวนในโลกการลงทุนทำให้สินทรัพย์ต่างๆ ลดลงทั่วโลก ในหลายๆ สินทรัพย์ ไม่ว่าจะหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ กอง REIT ต่างๆ ทำให้หลายๆ คนตั้งตัวไม่ทัน เกิดความกังวลและชะลอการลงทุน รวมถึงการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี RMF และ SSF ด้วย

แต่ก็เชื่อว่า คนที่เคยลงทุนลดหย่อนภาษีแล้วและยังมีรายได้ ก็น่าจะยังอยากลงทุนอยู่ เพราะการลงทุนในกองทุน RMF และ SSF เงินทุกบาทยังเป็นเงินของเราอยู่ และได้ลดหย่อนภาษีเป็นประโยชน์เพิ่มเติม แตกต่างจากการการลดหย่อนอื่นๆ อย่างการบริจาค แม้ได้ 2 เท่า แต่นั่นคือ การจ่ายออกและเราได้ชดเชยภาษี ส่วนกองทุนรวม RMF SSF เงินทั้งหมดยังเป็นของเรา แค่ลงทุนให้ครบตามเงื่อนไขเท่านั้น

  • สำหรับประเด็นขาดทุนที่หลายคนกังวล ถ้าเรามองให้ดี จะพบว่า สามารถแยกประเด็นออกจากกันได้ จริงๆ กำไรขาดทุนเป็นเรื่องของความผันผวนการลงทุน ไม่ใช่ประเด็นลดหย่อนภาษี ถ้านักลงทุนกังวลมากๆ ก็สามารถเลือกกองทุนที่ผันผวนน้อยได้ อย่างเช่น กองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนผสม RMF / SSF ซึ่งผันผวนน้อยได้ หรือถ้ายังไม่มั่นใจตอนนี้ จะลงทุนใน RMF ประเภทกองทุนพักเงิน อย่าง     บัวหลวงมันนี่มาร์เก็ตเพื่อการเลี้ยงชีพไว้ก่อน แล้วค่อยสับเปลี่ยนในวันที่ต้องการภายหลังก็ทำได้

หรือถ้ามองว่า ลงทุนยาวๆ จะลงทุนในตอนนี้ที่กองทุนราคาลงมาจนราคาน่าสนใจก็ทำได้เช่นกัน  การซื้อกองทุนลดภาษี ทำให้การลงทุนของเรามีหน้าตักเพิ่มขึ้น ถ้าฐานภาษีสูงสุดเราอยู่ที่ 20% ลงทุน 50,000 บาท ได้คืนมา 10,000 บาท  เท่ากับว่าลงทุนจริง   40,000 บาท  ถ้ากองทุนที่ซื้อร่วงไม่ถึง 20% เราก็ยังถือว่าได้ประโยชน์อยู่

ส่วนตัวมองว่า เราจะลงทุนอะไรแบบไหน ถ้าดูตามสถานการณ์ก็จะมีความกังวล  panic ที่จะทำให้การตัดสินใจเราเป๋ไปมาได้

อยากให้ลองกลับมาพิจารณาวิธีลงทุนแบบ DCA หรือลงทุนแบบถัวเฉลี่ย เพราะกองทุนลดหย่อนภาษีเราต้องลงทุนยาวอยู่แล้ว เลือกกองทุนที่เราเชื่อมั่นยาวๆ เป็นเมกะเทรนด์แล้วทำ DCA สะสมไปเรื่อยๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดี ยิ่งราคาลงในจังหวะผันผวนแบบนี้ ก็จะได้สะสมต้นทุนที่ต่ำไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนส่วนมากกังวลและไม่กล้าลงทุน

แม้ว่าหลายๆ กองยังติดลบ แต่เราก็พบว่า ปัจจัยกดดันพอมีข่าวคลี่คลาย แม้จะสั้นๆ ตลาดก็เด้งกลับรวดเร็ว การรอจังหวะอาจจะทำให้ซื้อไม่ทัน ดังนั้น การทำ DCA จะช่วยได้ดีเวลาตลาดผันผวนมากๆ

แม้ตลาดปีนี้จะลงมาเยอะ แต่กองทุนที่มีพื้นฐานดีที่เป็นเมกะเทรนด์สำคัญ ทั้ง BCARE B-INNOTECH ก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดี แม้จะขาดทุนก็ขาดทุนน้อย ถ้าใครสะสม DCA มานานๆ พอร์ตก็จะยังกำไรอยู่ จะไม่กังวลกับเหตุการณ์ในปีนี้มากนัก เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการทำ DCA ช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้จริง

ส่วนบางนโยบายที่ไม่ได้เป็นเมกะเทรนด์ แต่เราสนใจ ก็ลงทุนได้อาจจะไม่ต้องทำ DCA แต่ต้องควบคุมสัดส่วนที่ลงทุนไม่ให้มากเกินไป ก็อาจจะซื้อครั้งเดียวแล้วว่าไปยาวๆ เติมได้บ้างเพียงเล็กน้อยเวลาตลาดร่วงแรงๆ ถ้ามองว่ายังมีโอกาสฟื้นคืน

สำหรับคำแนะนำกับท่านที่ยังไม่ได้ลงทุนในปีนี้

อย่างแรก อยากให้ดูพอร์ตโดยรวมสำหรับเป้าหมายระยะยาวของเราก่อนว่ามีหุ้น มีตราสารหนี้มากน้อยยังไง เสี่ยงมากไปไหม ไม่ใช่แค่ดูพอร์ตกองทุนลดภาษี บางคนมีเงินเก็บเงินออมหลายรูปแบบ บางคนกังวลมากเพราะกองทุนมีแต่กองทุนหุ้น แต่พอไปดูทรัพย์สินยังมีเงินฝาก หุ้นกู้ พันธบัตร สลากออมสินอีกเยอะมาก คิดสัดส่วนแล้วหุ้น กองทุนหุ้น ยังเป็นสัดส่วนมี่ไม่ได้มากมาย แบบนี้ก็ยังพอลงทุนหุ้นต่อได้ แต่ถ้ามากเกินไปแล้ว ก็ต้องเลือกพวกกองเสี่ยงต่ำๆ กองผสม กองตราสารหนี้ครับ

ต่อมาลองตัดปัญหากวนใจในตลาดช่วงนี้ไปก่อน ตอบตัวเองให้ได้ว่า เรามั่นใจหรือเชื่อมั่นในเรื่องอะไร เชื่อเทคฯ ไหม healthcare เชื่อไหม จีนล่ะ ยังเชื่อไหม ถ้านโยบาย Zero Covid ผ่านไป กลไลเศรษฐกิจจีนกลับมา จีนก็ควรจะดีกว่าตอนนี้ ถ้าตอบแล้วยังเชื่อ ก็ลงทุนได้ ตอนนี้ลงมาให้ซื้อเยอะพอควรครับ