Product Update : กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)

Product Update : กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)

Can china stimulus offset trade risk?

สรุปภาวะตลาดและทิศทางการลงทุน

ผ่านไป 11 เดือนนับตั้งแต่จดทะเบียนกองทุน B-CHINE-EQ เมื่อปีที่แล้ว ผู้ถือหน่วยจะสังเกตได้ว่าในบรรดาหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่ร่วงลงในปีก่อนนั้น หุ้นจีนลดลงมากที่สุด ดัชนีหุ้นหลักของจีน อาทิ เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตลดลง -24.591% ต่ำสุดในรอบสี่ปีนับตั้งแต่ปลายปี 2014 (ตามกราฟ) ทั้งที่บริษัทจดทะเบียนจีนมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง กระนั้นก็ตาม ในช่วงตลาดขาลงเราพบกระแสเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนหุ้นจีนในตลาดเซี่ยงไฮ้ และเสิ่นเจิ้นต่อเนื่อง ผ่านช่องทางที่ชื่อว่า “ฮ่องกงคอนเนคโปรแกรม” ที่เสมือนเป็นประตูเปิดให้นักลงทุนต่างชาติอาศัยเป็นช่องทางเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน Mainland ได้

การที่รัฐบาลจีนเปิดโอกาสให้ต่างชาติถือครองลงทุนหุ้นจีน Mainland A-Shares ได้นั้น มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจด้านการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน กองทุนบำเหน็จบำนาญระดับโลก สอดคล้องกับการที่บริษัท MSCI ซึ่งจัดทำดัชนีสากลรวมหุ้นจีน Large-cap A-Shares จำนวน 220 บริษัท เข้าเป็นองค์ประกอบของดัชนี MSCI Emerging Market มาตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2018 และตามมาด้วยในปีนี้ดัชนี FTSE Russell ของสหราชอาณาจักรก็ได้ประกาศรวมหุ้นจีนในเดือน มิ.ย. 2019 ความสำคัญของหุ้นจีน A-Shares ต่อดัชนีโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

กองทุนฯ เล็งเห็นความสำคัญด้านการจัดสรรน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนของผู้ถือหน่วย เพราะเชื่อว่าหุ้นจีนจะเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ทวีความสำคัญมากขึ้นจากนี้ไป โดยแนะนำลงทุนในหุ้นจีนที่มีองค์ประกอบของบริษัทที่จดทะเบียนในเซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น หรือเรียกว่า A-Shares บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง หรือเรียกว่า H-Shares และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า US-listed เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาสต่อเทรนด์การเติบโตของจีนยุคใหม่ อาทิ การท่องเที่ยว ยานยนต์ไฟฟ้า ปัญญาประดิษฐ์ และยาไบโอเทคจีน ซึ่งอยู่ในกลุ่ม A-Shares รวมถึงธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ/สถาบันการเงิน ซึ่งอยู่ในกลุ่ม US-list และ H-Shares ตามลำดับ

ณ ปัจจุบัน หุ้นจีน Mainland ยังคงเป็นตลาดที่มีสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของมูลค่าการซื้อขาย ราคาหุ้นในระยะสั้นจึงเคลื่อนไหวตามปัจจัยบวก/ลบตามพาดหัวข่าวและความกังวลต่างๆ นานา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนสถาบันที่มีความชัดเจนในการบริหารการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก (Active Fund) รวมถึงนักลงทุนรายย่อยเล็งเห็นโอกาสต่อการถือครองหุ้นจีนในภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ กองทุนฯ เชื่อว่าในระยะยาวหุ้นจีนจะคงความเป็นเพชรเม็ดงามในบรรดาตลาดเกิดใหม่และจะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างดี

*กองทุนฯ หมายถึงกองทุน Allianz Global Investor fund – All China Equity

Source: Facet, AGI, 31 Jan 2018

ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 25 ม.ค. 2019 ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้น +4.1% ราคาหน่วยลงทุนกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน B-CHINE-EQ ปรับขึ้นสู่ 7.6098 บาทต่อหน่วย จากต่ำสุด 7.0739 บาทต่อหน่วย ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองกองทุนฯ ในไตรมาสก่อนที่เคยกล่าวไว้ว่า กองทุนฯ ไม่เชื่อว่าหุ้นจีนจะเกิดอาการ de-rating ลงอีกในปี 2019 แม้ว่ากำไรจะลดลง/หายไป หรืองบจะไม่ดี เพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาแล้วในไตรมาสสามถึงไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีอย่างต่อเนื่อง

การที่กองทุนฯ ไม่เชื่อว่าราคาหุ้นจะ de-rating ลงในปีนี้ต่ออีกเพราะพบว่า มีธีมสนับสนุนจากบรรดาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในระยะกลางถึงยาว ได้แก่

1.ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยยกเว้นผู้ที่มีรายได้ช่วง 3,500 – 5,000 หยวนต่อเดือนมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2018 และมีการเพิ่มรายการลดหย่อนเงินได้หลายประเภท อาทิ ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยบ้าน ค่าลดหย่อนเลี้ยงดูคนชรา ค่าลดหล่อนเลี้ยงดูบุตร ฯลฯ ลงอีกโดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2019

2.ลดภาษีธุรกิจลงประมาณ 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้

3.อนุญาติให้สามารถขอคืนภาษีสินค้าและบริการหรือ VAT ได้ในส่วนงานวิจัยและพัฒนา งานภาคการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง งานเครือข่ายส่งกระแสไฟฟ้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค

4.ลดเงินสมทบที่บริษัทจดทะเบียนจะต้องจ่ายให้กับรัฐไว้เป็นค่าสวัสดิการสังคมลงประมาณ 0.05% ของอัตราสมทบ ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน A-Shares มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบให้รัฐทุกเดือนในอัตรา 31% ของรายได้พนักงานก่อนหักภาษี คาดว่า มาตรการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ช่วยให้บริษัทจดทะเบียนในหุ้นจีน A-Shares มีกำไรสุทธิเติบโตดีขึ้นประมาณ 2.4%

5.ทางการจีนทยอยเข็นหุ้นจีน A-Shares เข้าสู่ระดับสากล

  • จีนเองได้เริ่มโครงการ Stock Connect Program เพื่อเชื่อมตลาดฮ่องกง-เซี่ยงไฮ้ในเดือน พ.ย. 2014 และเชื่อมตลาดฮ่องกง-เซินเจิ้นในเดือน ธ.ค. 2016 และเปิดช่องให้ตลาดหุ้น Mainland สามารถรับเงินจากภายนอกได้ ตั้งแต่เปิดโครงการจนถึง 15 พ.ย. 2018 พบมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 727 พันล้านหยวน และ 614 พันล้านหยวน ถือว่าสัดส่วนของมูลค่าหุ้นซื้อขายเปลี่ยนมือรายวันจากช่องทางนี้เพิ่มขึ้นสู่ 8% และ 3% ของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์รายวัน ตามลำดับ
  • MSCI Emerging Market เพิ่มสัดส่วนในการคำนวนหุ้นจีน A-Shares Large Cap เข้าเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีจาก 5% เป็น 20% ในเดือน พ.ค. และ ส.ค. 2019
  • MSCI Emerging Market เพิ่มสัดส่วนในการคำนวนหุ้นจีน A-Shares Mid-Small Cap เป็น 20% ในเดือน พ.ค. 2020

การที่ประธานาธิบดีสี่จิ้นผิง ประกาศนำตลาดทุนจีนเข้าสู่สากลเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ ทำให้หุ้นจีน A-Shares มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติถือครองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อ้างอิง: ข้อมูลจากธนาคารกลางจีน เราพบว่านักลงทุนต่างชาติถือหุ้นจีนสัดส่วน 3.0% ของมูลค่าตลาดบริษัทจดทะเบียน (Full Market capitalization) หรือ 7.1% ของมูลค่าหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ (Free float market capitalization) กลุ่มบริษัทที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจได้แก่ หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่างชาติซื้อสุทธิในช่วงที่ราคาหุ้นผันผวนลงจากสงครามการค้าในปีนี้

6.การปะทุของนวัตกรรมเทคโนโลยีจีน จีนเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้นๆ คนจีนได้รางวัลการพัฒนาโปรแกม อัลกอริทึม เป็นอันดับ 2 และ 4 ของโลกจาก 100 อันดับทางแขนงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จีนมีธุรกิจเกิดใหม่ทางด้านปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกว่า AI Start-up สัดส่วน 23% ของโลก เงินวิจัยลงทุนทางด้าน AI หลังวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้คิดเป็น 49 พันล้านหยวนแซงหน้าสหรัฐฯ และรัฐบาลจีนมีแผนเป็นผู้นำโลกด้านนวัตกรรมในปี 2030

*กองทุนฯหมายถึงกองทุน Allianz Global Investor fund – All China Equity

คำถามและคำตอบสำคัญสำหรับผู้ถือหน่วย

1.จีนจะเติบโตอย่างไรในช่วงที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงภายในจากความพยายามในการลดหนี้ (Deleveraging)?

จีนจำเป็นต้องเตรียมการณ์บางสิ่งเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืนดังคำสุภาษิทที่เรียกว่า “อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน” ดังนั้นห้วงเวลาแห่งการลดหนี้ จึงทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในจังหวะที่ช้าลงเห็นได้จากตั้งแต่ต้นปีธุรกิจทยอดปรับโครงสร้าง การสร้างหนี้เพื่อนำมาลงทุนส่งสัญญาณลดลง

(กราฟซ้าย) และอัตราการเติบโตสัดส่วนสินเชื่อ SMEs เริ่มลดลง (กราฟขวา)

2. จีนจะจัดการได้ดีแค่ไหนเพื่อประคับประคองอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงจากเดิมท่ามกลางการลดหนี้ในภาคธนาคารท้องถิ่น? 

จัดการได้ ด้วยการปรับโครงสร้างภาษีในมิติที่หลากหลายไปพร้อมๆ กัน ทั้งภาษีบุคคลธรรมดา/ภาษีสินค้าและบริการหรือเรียกว่า VAT ภาษีบริษัท/ภาษีธุรกิจนำเข้าและส่งออก

(กราฟซ้าย) แสดงการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กราฟขวา) แสดงรายการกู้ยืมนอกงบการเงินของสถาบันการเงินท้องถิ่น

ทั้งนี้เป้าหมายหลักของมาตรการลดหนี้ คือการคงระดับของการก่อหนี้ไม่ให้เพิ่มอีก โดยเฉพาะหนี้ภาคธนาคารท้องถิ่น

3. Growth Story ของเศรษฐกิจจีนยุคใหม่หรือ New China อยู่ที่ตรงไหน มีอะไรที่พอจะจับต้องได้ ณ ปัจจุบัน? 

พบว่ามี ในธุรกิจท่องเที่ยว (อาทิ บริษัท Ctrip, China International Travel) และสินค้าแบรนด์เนมด้านเทคโนโลยี (อาทิ บริษัท Xiaomi, Huawei) เหตุที่คนจีนบริโภคสินค้าระดับพรีเมี่ยมเป็นผลของการบังคับให้มีลูกคนเดียวมายาวนานถึง 40 ปี เมื่อภาระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูครอบครัวลดลงกำลังซื้อต่อหัวจึงสูงขึ้น บริษัทจดทะเบียนที่พัฒนาสร้างแบรนด์ขึ้นมาและมีรายได้หลักจากกำลังซื้อในประเทศ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นจีน A-Shares ในกลุ่มท่องเที่ยว สินค้าอุปโภคบริโภค) รวมถึงตลาดสมาร์ทโฟนกว่า 90% ของส่วนแบ่งตลาดเป็นแบรนด์ในประเทศ

(กราฟซ้าย) แสดงจำนวนผู้เดินทางในประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน (กราฟขวา) แสดงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศ

4.ตลาดหุ้นจีนช่วงที่พบขาลง มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อสะสมเพิ่มไหม ?

มีการเพิ่มขึ้น ยอดซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาติที่ถือครองหุ้นจีนเพิ่มจาก 1% ช่วงต้นปี 2017 เป็น 7% ในปี 2018 ขณะที่กองทุนฯ เองซึ่งมีกลยุทธ์การบริหารหุ้นจีนแบบ All China Strategy ได้มีเงินใหม่จากนักลงทุนสถาบันกลุ่มยุโรปที่สนใจนำเงินมาลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

(กราฟซ้าย) : แสดง%หุ้นจีน A-Shares ในดัชนี MSCI EM หลังการพิจารณานำหุ้นเพิ่มปีนี้ 2019 (กราฟขวา) : แสดง%ของการถือครองหุ้นจีนจากนักลงทุนต่างชาติที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

กระบวนการลงทุนของ Allianz Global Investor Fund – All China Equity

  1. คัดสรรหลักทรัพย์จากปัจจัยสามด้านคือ ต้องเป็นทั้งหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นคุณภาพ (Quality) และหุ้นที่มีระดับมูลค่าเหมาะสม (Valuation) เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักทรัพย์ลงทุน 40-60 บริษัท
  2. ทีมงานวิจัยภาคสนาม (Grass roots research) ลงไปสำรวจบริษัทนั้นๆ ตั้งแต่แหล่งที่มาของรายได้ แหล่งที่มาของต้นทุน ทิศทางอุตสาหกรรม ทั้งจากผู้ประกอบการ ตัวแทนขาย ลูกค้า
  3. วิเคราะห์ติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง (Ongoing Basis) ว่าเป็นไปตามแนวทางการลงทุน (Client guideline) ความเสี่ยงจะถูกประเมินทั้งระดับพอร์ตโฟลิโอ ประเทศ อุตสาหกรรม สไตล์ และรายหลักทรัพย์ โดยใช้ตัวชี้วัดมาตรฐานเช่น Tracking Error, Sharpe Ratio, Information Ratio, Volatility และ Portfolio Beta

ผลการดำเนินงานกองทุนในส่วนของการบริหารพอร์ตโดย Allianz Global Investor fund – All China Equity

Performance Attribution: 12 months period (Jan-Dec2018)

Positive contributors: 12 months period (Jan – Dec 2018) (Consumer / Healthcare / Financial)

1. China international travel service (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 3.5%, น้ำหนักดัชนี 0.2%)

ราคาหุ้น +32.6% ในปี CY2018

ทำธุรกิจทัวร์ เดินทางท่องเที่ยวให้กับคนจีน อีกทั้งยังเป็นธุรกิจผูกขาดการให้บริการทางด้านสินค้าปลอดภาษี (Domestic Duty-free shops) เพียงแห่งเดียวในสนามบินในประเทศจีน

2. Aier Eye Hospital Group (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 0.7%, น้ำหนักดัชนี 0%)

ราคาหุ้น +53.2% ในปี CY2018

แม้หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์จีนจะถูกกดดันจากนโยบาย General procurement arrangement ของทางการที่เข้าควบคุมเงินสนับสนุนราคายาเพื่อจัดระเบียบความเท่าเทียมกัน จนทำให้นักลงทุนที่ชื่นชอบหุ้นเฮลธ์แคร์หันไปลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาล แทนบริษัทผู้ผลิตยา บริษัท Aire Eye ซึ่งเปิดโรงพยาบาลรักษาตาได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าว เพราะธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมราคายาของทางการจีน

3. Weichai power (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 0.4%, น้ำหนักดัชนี 0.2%)

ราคาหุ้น +10.4% ในปี CY2018

เป็นหุ้น Turnaround บริษัทเป็นผู้ผลิตรถจักรกลขนาดใหญ่ สองปีก่อนภาพรวมการเติบโตของทั้งอุตสาหกรรมค่อนข้างแย่ ช่วงนั้นระดับการผลิต (Utilization rate) ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 30% ในปีแต่เมื่อกระบวนการผลิตกลับมาดีขึ้นทำให้กำไรสุทธิออกมาเหนือกว่าที่ตลาดคาดการณ์

4. China Merchants Bank (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 3.9%, น้ำหนักดัชนี 2.0%)

ราคาหุ้น -4.4% ในปี CY2018

หุ้นร่วงลงน้อยกว่าดัชนี เพราะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

5. Bank of Ningbo (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 0.4%, น้ำหนักดัชนี 0.2%)

ราคาหุ้น -11.5% ในปี CY2018

หุ้นร่วงลงน้อยกว่าดัชนี ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

Negative contributors 12 months period (Jan – Dec 2018) (Communication / Technology / Auto)

1. Brilliance China Automobile (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 1.4%, น้ำหนักดัชนี 0.2%)

ราคาหุ้น -71.9% ในปี CY2018

เป็นบริษัทร่วมทุนกับค่ายรถยนต์ BMW ราคาหุ้นร่วงลงเนื่องจากการลดลงของยอดขายรถในครึ่งปีหลังของจีน และจากปัจจัยที่ BMW มองหาบริษัทร่วมทุนอื่นๆอีก ทำให้เกิดความกังวลต่อเสถียรภาพของธุรกิจในระยะยาว ราคาหุ้นร่วงลงหนักจนทำให้ ซื้อขาย ณ ระดับ 5x FW PE, PB 1x

2. Zte Corporation (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 0.4%, น้ำหนักดัชนี 0.2%)

ราคาหุ้น -55.6% ในปี CY2018

ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือถือ ได้รับผลกระทบจากการที่เป็นห่วงโซ่อุปทานให้กับค่ายมือถือ Apple ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

3. Shenzhen Sunway Communication (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 0.7%, น้ำหนักดัชนี 0.0%)

ราคาหุ้น -55.3% ในปี CY2018

เป็นผู้ผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับมือถือโดยเฉพาะมือถือค่าย Apple ที่ใช้ Supply Chain จากบริษัท Sunway นอกจากนี้ยังผลิตเสารับสัญญาณให้มือถือไอโฟนรุ่น XS จึงได้รับผลกระทบจากตลาดสมาร์ทโฟนจีนหลังสงครามการค้า

4. China Mobile (น้ำหนักลงทุนเฉลี่ยในพอร์ต 0.0%, น้ำหนักดัชนี 1.8%)

ราคาหุ้น -0.60% ในปี CY2018

ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายมือถือที่ใหญ่ที่สุดในจีน กองทุนไม่มีฐานะการลงทุนด้วยเหตุที่รายได้บริษัทเติบโตระดับ 5-6% ไม่ได้มีเทคโนโลยีใหม่ๆออกมานอกเหนือจากการให้บริการเครือข่ายและระบบ 4G อย่างไรก็ตามราคาหุ้นไม่ผันผวนในช่วงสงครามการค้าเพราะจำนวนผู้ใช้บริการเครือข่ายในประเทศทรงตัว

5. Hangzhou Hikvision Digital (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 2.0%, น้ำหนักดัชนี 0.5%)

ราคาหุ้น -36.6% ในปี CY2018

ทำธุรกิจผลิตกล้องวงจรปิด ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เนื่องจากบริษัทมียอดขาย 25-30% จากการส่งออกไปยังต่างประเทศและส่งออกไปยังสหรัฐฯ 6.0%

มองไปข้างหน้ากองทุนฯมองว่าจีน-สหรัฐฯมีแนวโน้มเปิดเจรจากันมากขึ้นมากกว่าที่จะห้ำหั่นใส่กัน ประกอบกับการดำเนินทั้งนโยบายการเงินและการคลังในโหมดผ่อนคลาย การปรับลดภาษีเพิ่มเติม กองทุนฯจึงคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนจีนปี FY2019 ทั้งที่จดทะเบียนในตลาดเมนแลนด์เซี่ยงไฮ้ เสิ่นเจิ้น และที่จดทะเบียนต่างประเทศ ว่าน่าจะเติบโตได้ระดับ 6-9% ต่อปี

ผู้จัดการกองทุนฯค่อนข้างอยู่ในโหมดระมัดระวังจากประเด็นการค้าจากนี้ไป ผู้จัดการพยายามหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่มที่ต้องพึ่งพิงนวัตกรรมจากต่างประเทศ

*กองทุนฯหมายถึงกองทุน Allianz Global Investor fund – All China Equity