กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG) และกองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BSIRIRMF)

กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG) และกองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BSIRIRMF)

ตลาดหุ้นไทย เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น

ประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มดีขึ้นช่วงนี้

  • หลายประเทศร่วมมือกันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสู้วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งก็เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย 
  • รัฐบาลเตรียมออกมาตรการเร่งด่วน กระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
  • ดอกเบี้ยไทย คาดว่าจะลงได้อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปีนี้
  • แนะนำทยอยลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผลสูง เช่น กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG) กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ (BSIRIRMF)

ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลายประเทศทั่วโลก จึงเร่งออกมาตรการกระตุ้นออกมาอย่างเร่งด่วน เช่น

     สหรัฐอเมริกา: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมผลักดันให้สภาคองเกรสอนุมัติงบฉุกเฉิน 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 79,500 ล้านบาท) เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดหมายว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยลงเพิ่มอีกราว 0.25% ในเดือน เม.ย.นี้ หลังจากประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแบบ “ฉุกเฉิน” ไปแล้ว 0.5% ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.00-1.25% ไปเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2563

     ญี่ปุ่น: ก่อนหน้านี้รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติแผนจัดสรรงบ 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ จากนั้นล่าสุดมีการประกาศแผนจะใช้ทุนสำรองในงบประมาณปี 2563 ช่วยเหลือธุรกิจ 50 ประเภท ที่มียอดขายลดลง 5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เน้นช่วยผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ธุรกิจรถทัวร์นำเที่ยว สนับสนุนธุรกิจร้านค้าปลีกและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดสรรเงินช่วยผู้ผลิตปูนซิเมนต์ ส่วน SMEs จะยื่นขอกู้เงินได้ง่ายขึ้น โดยรัฐบาลช่วยรับประกันเงินกู้ให้ผู้ประกอบการ

     ฮ่องกง: มีแผนแจกเงินเช่นกัน รายละ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 40,000 บาท) แก่ชาวฮ่องกงทุกคนที่อายุเกิน 18 ปี เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ และการชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนก.ค.- ธ.ค. 2562 รัฐบาลฮ่องกงใช้งบรวมแล้วกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 96,000 ล้านบาท) ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก

     มาเลเซีย: นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด รักษาการนายกรัฐมตรี ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2 หมื่นล้านริงกิต (4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตรการดังกล่าวครอบคลุมการลดหย่อนภาษี การช่วยเหลือบริษัทในภาคธุรกิจต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ภาคการท่องเที่ยว จัดหาเงินกู้สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และแจกเงินสดให้กับประชาชน

     สิงคโปร์: เลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าและบริการที่กำหนดไว้ว่าจะเริ่มจัดเก็บในปี 2564 ออกไปก่อน พร้อมทั้งจัดสรรงบ 4,500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสและรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ การจ้างงานและค่าครองชีพ นอกจากนี้ ยังเตรียมมอบโบนัสสูงสุดถึง 1 เดือน แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นแนวหน้าในการรับมือกับเชื้อไวรัส และที่ขาดไม่ได้คือ มาตรการแจกเงินประชาชนรายละ 100-300 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ)

คลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1 แสนล้านบาทเพื่อช่วยเยียวยาผลกระทบ COVID-19 โดยคาดว่า การประชุม ครม. เศรษฐกิจศุกร์นี้ จะมีหลายมาตรการ เช่น มาตรการแจกเงินแก่ผู้ที่มีรายได้น้อย เงินเดือนน้อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกร มาตรการสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME มาตรการทางด้านภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการให้จ้างงานลูกจ้างต่อไป และมาตรการช่วยเหลือตลาดทุน โดยให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมสรรพากร และตลาดหลักทรัพย์ พิจารณาปรับเกณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ให้เหมือนกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ดังนั้นจากความคาดหวังต่างๆ อาจช่วยเยียวยาเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดีความรุนแรงของโควิด-19 ในปัจจุบันยังคงเร่งตัวขึ้น ดังนั้นคงต้องระมัดระวังในการลงทุนเช่นเดิม

นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังของภาครัฐแล้ว อีกนโยบายหนึ่งที่สำคัญคือนโยบายการเงิน โดยกองทุนบัวหลวง คาดว่า กนง. มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% อยู่ที่ 0.75% ในการประชุมที่เหลืออีก 7 ครั้งในปีนี้ ดังนั้น ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ จึงเป็นโอกาสให้ภาครัฐและเอกชนสามารถกู้เงินได้ในต้นทุนที่ถูก

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ Valuation ปัจจุบัน โดยพิจารณาผ่าน Market Earning Yield Gap ภายใต้ EPS63 พร้อมกับใช้ Bond Yield 1 ปี ณ ปัจจุบัน ที่ 0.83% จะได้ Market Earning Yield Gap ในช่วง 5.30 % ถือว่ากว้างมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.24% และอยู่ในระดับเดียวกันกับตอนเศรษฐกิจถดถอยในปี 2556 ดังนั้น คาดว่า SET Index ยังมีโอกาสฟื้นได้เร็วขึ้นเหมือนอดีต หากเหตุการณ์ต่างๆ ผ่อนคลายลง รวมถึงเวลาเกิดผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ผิดปกติ มีโอกาสที่ทาง กนง. จะใช้มาตรการทางการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง ช่วยหนุนดัชนีอีกแรง ดังนั้นจึงแนะนำทยอยลงทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผลสูง เช่น BSIRICG,BSIRIRMF

หมายเหตุ : ใช้เผยแพร่ ณ วันที่ 5 มี.ค. 2563 ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง