โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPTTM
ปัจจุบันเทรนด์การลงทุนของโลกที่นักลงทุนให้ความสนใจ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) เพราะในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกได้เผชิญกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงของอากาศ (Climate Change) การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และมลภาวะทางอากาศ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทุกคนบนโลก รวมถึงตัวของนักลงทุนเอง ซึ่งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิตที่แย่ลง สุขภาพไม่ดี และภัยธรรมชาติ
ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยให้การสนับสนุนธุรกิจที่ไม่ใช่แค่ห่วงใยโลก แต่เป็นธุรกิจที่มีความมุ่งมั่นในการที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นด้วยการลงมือทำจริงๆ โดยแนวคิดนี้เป็นเทรนด์การลงทุนของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการ “ลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบต่อโลก” ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กระแสเงินสดที่ไหลเข้ากองทุนหุ้นกลุ่มยั่งยืนในสหรัฐที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าจะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดใหญ่ โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 เติบโตขึ้น 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 88% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกัน จึงอาจกล่าวได้ว่านักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญและมีความต้องการลงทุนในหุ้นยั่งยืนมากขึ้น
สิ่งที่นักลงทุนต้องทำคือ การค้นหาหุ้นที่มีความยั่งยืน โดยความหมายของคำว่า “ยั่งยืน” ไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาผลกำไรสูงสุด ชนิดที่ว่าไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม แต่นักลงทุนจะเฟ้นหาหุ้นของบริษัทที่มุ่งมั่นในการทำธุรกิจเพื่อเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น นั่นคือ รักษาสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเศรษฐกิจ และพัฒนาสังคม ควบคู่ไปกับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ ตามหลักเกณฑ์ของตลาดทุนด้าน ESG : Environment / Social / Good Governance ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องการ
ทั้งนี้ ในมุมมองของคนทั่วไปอาจเข้าใจความหมายของ ESG คลาดเคลื่อนไปบ้าง โดยมองว่า ESG คือการปลูกต้นไม้ ทาสี ทำสาธารณประโยชน์ สาธารณกุศล คล้ายกับการแบ่งเงินกำไรจ่ายคืนกลับไปให้กับสังคมเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ความหมายของ ESG สำหรับนักลงทุนทั่วโลก คือการทำธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนโลกนี้ให้ดีขึ้น ด้วยการสร้างผลกระทบทางบวกต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact) ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ใช้พลังงานหมุนเวียนจากธรรมชาติ ลดการใช้พลังงานหรือใช้พลังงานให้คุ้มค่ามากที่สุด ยกตัวอย่าง นวัตกรรมหลอดไฟประหยัดพลังงานที่ลดการใช้ไฟฟ้าแต่ยังสว่างเท่าเดิม เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบทางบวกต่อเศรษฐกิจ (Economic Impact) เช่นกัน นั่นคือธุรกิจต่างก็ต้องการพิสูจน์ให้ผู้ลงทุนเห็นถึงความตั้งใจ ความโปร่งใส ในการดำเนินธุรกิจที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นได้ เพื่อเป็นกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และนี่จึงเป็นที่มาของเกณฑ์ ESG ในส่วนของ Good Governance เพราะถ้าหากนักลงทุนให้ความไว้วางใจและตัดสินใจลงทุน บริษัทก็จะมีเงินหมุนเวียนในการพัฒนาธุรกิจที่ช่วยทำให้โลกเราเติบโตได้อย่างยั่งยืน และแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบทางบวกต่อสังคม (Social Impact) ด้วย เพราะถ้าหากโลกได้รับการดูแลอย่างดี ทุกคนบนโลกก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ WIN-WIN กันทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา โลกของเราได้มีการพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดด โดยนวัตกรรมต่างๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่สถาบันทดลอง หรือศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่ถูกนำไปใช้เป็นธีมหลักในการดำเนินธุรกิจของหลายร้อยบริษัท และมีแนวโน้มที่จะมีบริษัทใหม่ๆ หันมาใช้นวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ปกป้อง และดูแลโลกของเราอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ โดยมีนักลงทุนรุ่นใหม่เป็นพลังสนับสนุน ธีมลงทุนเพื่อการเปลี่ยนโลกนี้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ นี้ กองทุนบัวหลวงได้จัดตั้งกองทุนชื่อว่า กองทุนเปิดบัวหลวงยั่งยืน หรือ B-SIP : Bualuang Sustainable Investing Portfolio กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศชนิด Fund of Funds ซึ่งจะไปลงทุนในหน่วยลงทุน จำนวน 2 กองทุนขึ้นไป โดยระยะแรกกองทุน B-SIP จะลงทุน 75% ในกองทุน Pictet – Global Environmental Opportunities Fund เน้นการลงทุนในบริษัทที่มีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก ลดการใช้พลังงาน เช่น บริษัท เวสทัส วินด์ ซิสเทม ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ากังหันลมจากเดนมาร์กที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หรือจะเป็นบริษัท แอปพลาย แมตทีเรียล ในซิลิคอนวัลเลย์ ผู้ผลิตชิป (Semiconductor) สำหรับสมาร์ทโฟน ทีวี และผลิตภัณฑ์แสงอาทิตย์ โดยอีก 25% ลงทุนในกองทุน Pictet – Clean Energy Fund เน้นลงทุนในบริษัทที่เน้นการใช้พลังงานสะอาด
โดยสรุปก็คือ การลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) นั้นเป็นมากกว่าเทรนด์ แต่เป็น “ธีมการลงทุนของโลก” ในระยะยาว เพราะในปัจจุบันบริษัทต่างๆ ได้นำนวัตกรรมเข้ามาใช้เป็นธีมหลักในการดำเนินธุรกิจ โดยมีเป้าหมายไม่ใช่แค่กำไร แต่ต้องการที่จะพัฒนา ปกป้อง และดูแลโลกของเราให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน
นักลงทุนรุ่นใหม่อย่างพวกเราก็ควรร่วมเป็นพลังในการสนับสนุนธุรกิจที่ขับเคลื่อนโลกนี้ให้เติบโตต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน Let’s Build a Better World Together!!