ถึงเวลากลับมาลงทุนหุ้นเทคฯ หรือยัง

ถึงเวลากลับมาลงทุนหุ้นเทคฯ หรือยัง

สรุปความสัมภาษณ์

เศรณี นาคธน

AVP Portfolio Management

  • เงินเฟ้อยังเป็นประเด็นที่น่าห่วงหรือไม่ สำหรับการลงทุนในหุ้น

อัตราเงินเฟ้อในหลายๆ ประเทศเริ่มปรับเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2021 ภายหลังจากหลายๆ ประเทศได้ทยอยเปิดเมือง เร่งฉีดวัคซีน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มดำเนินได้ตามปกติ ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เพราะคนก็อัดอั้นจากการปิดประเทศในช่วงปีที่ผ่านมาทำให้ไม่ได้ใช้จ่าย เมื่อเศรษฐกิจเริ่มเปิดจึงอยากใช้จ่ายมากขึ้น ในขณะที่ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าให้ได้ทันกับความต้องการ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้น เราจึงเห็นทั้งเงินเฟ้อจริงๆ และเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ประกาศออกมาแต่ละเดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น

ปัจจัยนี้ส่งผลให้นักลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้เกิดความกังวล เพราะปัจจัยหนึ่งที่สามารถขับเคลื่อนตลาดหุ้นให้ปรับขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็มาจากสภาพคล่องที่ธนาคารกลางอัดฉีดเข้ามา ต้นทุนการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ และอัตราดอกเบี้ยที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk free rate) อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ตลาดเสพติดจนเป็นความเคยชิน เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อเป็น Mandate หนึ่งที่สำคัญของธนาคารกลางที่จะไว้ใช้พิจารณาว่าจะเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายหรือไม่ ทำให้เกิดความกังวลว่าธนาคารกลางจะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED มี Mandate 2 อย่าง คือเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน ซึ่ง FED รู้อยู่แล้วว่า อัตราเงินเฟ้อน่าจะถึงเป้าหมายได้ไม่ยากเย็นนัก ด้วยสภาพเศรษฐกิจและสภาวะเช่นนี้ แต่อีกเป้าหมายสำคัญคืออัตราการว่างงาน (Unemployment rate) พบว่า ในตอนนี้ตำแหน่งการจ้างงานจะต้องกลับมาอีกกว่า 8 ล้านตำแหน่ง กว่าที่อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ระดับก่อนการเกิด COIVD-19 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ FED  จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นเหมือนที่ตลาดคาดการณ์

ระยะถัดไป เราคิดว่าอัตราเงินเฟ้อจะส่งผลต่อตลาดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะตลาดเริ่มรับรู้ไปแล้วว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับลดปริมาณเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) จะต้องเกิดแน่นอน ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ก็จะไม่ใช่ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดที่สำคัญในอนาคต

  • ช่วงนี้เป็นจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นเทคฯ แล้วหรือไม่

นักลงทุนควรแบ่งการลงทุนในหุ้น เป็นทั้งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว และการเปิดประเทศ กลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น หุ้นกลุ่มวัฎจักร หรือหุ้นคุณค่า (Value) รวมถึงอีกกลุ่มที่ควรแบ่งเงินลงทุนเช่นกัน คือหุ้นเติบโต หรือกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกไกลในอนาคต

เราจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี หุ้นกลุ่มวัฎจักร กลุ่ม Value ค่อนข้างทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นกลุ่ม Growth และหุ้นกลุ่มเทคฯ มาระดับหนึ่ง  ซึ่งเราคิดว่า ณ ปัจจุบันอาจเป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนสะสมหุ้นกลุ่มเทคฯ ได้ ด้วยปัจจัยทั้งหมด 4 ประการ

  1. ปัจจัยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นได้สะท้อนผ่านราคาหุ้นในตลาดไปแล้ว จึงเข้ามากระทบตลาดได้น้อยลง
  2. นักลงทุนลด position การลงทุนใสหุ้นกลุ่ม Growth กลุ่มเทคฯ ค่อนข้างมากแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา จากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ
  3. ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก และผลการดำเนินงานของบริษัทด้านเทคฯ ก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  4. การเจรจาเรื่องการปรับขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่ปัจจุบัน ภาษีนิติบุคคลสหรัฐฯ อยู่ที่ 21% ตลาดคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลน่าจะไปอยู่ที่ 28% แต่เรามองว่าการปรับขึ้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกทั้งในปีหน้าจะเห็นการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งเรื่องนี้อาจเข้ามาเป็นประเด็นได้ ทำให้การปรับขึ้นภาษีจริงอาจไม่ถึงที่ตลาดคาดการณ์ไว้

  • แนะนำกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Growth และกลุ่มเทคฯ ของกองทุนบัวหลวง

กองทุนบัวหลวง มีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Growth กลุ่มเทคฯ ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (ฺB-INNOTECH) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ บริษัทเทคฯ ทั่วโลก

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE) ที่เน้นการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเปิดรับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศจีน

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลธีมเมติกออพพอร์ทูนิตี้ (B-GTO) ที่เน้นลงทุนในหุ้นนวัตกรรมทั่วโลก

และยังมีอีกกองทุนหนึ่งที่กำลังจะเสนอขายหน่วยลงทุนเป็นครั้งแรก (IPO) ในเดือน มิ.ย. นี้ นั่นก็คือ กองทุนเปิดบัวหลวงฟินเทค (B-FINTECH) ลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเงิน