กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (เฮดจ์ 75) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (H75) AI) และกองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (อันเฮดจ์) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (UH) AI)

กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (เฮดจ์ 75) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (H75) AI) และกองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (อันเฮดจ์) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (UH) AI)

สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ยูเอส ไฮยิลด์

เดือน ต.ค. ตราสารหนี้ยูเอส ไฮยิลด์ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) ระดับ B ให้ผลตอบแทน -1.64% ผลตอบแทนรายเดือนติดลบเป็นเดือนแรกหลังจากที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกติดต่อกันมาสี่เดือน ผลตอบแทนที่ติดลบเป็นผลจากตลาดหุ้นร่วงลง ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน

ด้านกระแสเงินไหลเข้า-ออก ตราสารหนี้ยูเอส ไฮยิลด์เผชิญกับกระแสเงินไหลออกในเดือน ต.ค. -6.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเนื่องจากเดือนก.ย.ซึ่งไหลออก -1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปีนี้ (YTD) มีกระแสเงินไหลออกรวม -31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ด้านตราสารหนี้ออกใหม่ พบว่ามีจำนวนลดลงอย่างชัดเจน ระหว่างต้น-ปลายเดือน ต.ค. มีตราสารหนี้ออกใหม่เพียง 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับตราสารหนี้ออกใหม่ต่อเดือนโดยเฉลี่ยตั้งแต่เดือน ต.ค. 2010 ซึ่งจะมีตราสารออกใหม่ต่อเดือนที่ระดับ 25.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน ในปีนี้มีปริมาณตราสารหนี้ออกใหม่น้อยมาก รวมมูลค่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน 179.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ลดลงจากปีที่แล้ว 36%

ด้านการผิดนัดชำระหนี้ พบว่ามี 3 ตราสารที่มีการผิดนัดชำระหนี้ในเดือน ต.ค. อัตราการผิดนัดชำระหนี้ตามราคาที่ตราไว้ (Par weight default rate) สิ้นเดือน ต.ค.ระดับ 2.02% ทรงตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม

หากเทียบผลตอบแทนตราสารหนี้ไฮยิลด์สหรัฐฯ รายเดือน (ซึ่งลดลง -1.60%) น้อยกว่าหุ้นสหรัฐฯ (S&P500 ซึ่งลดลง -6.84%) แต่น้อยกว่าตราสารหนี้เอกชน (U.S. Corporate -1.35%) และพันธบัตรรัฐบาล (U.S. Treasury -0.51%)

เมื่อมองลึกลงโดยจำแนกตามอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร ตราสารหนี้ระดับ CCC หรือต่ำกว่าให้ผลตอบแทน -2.81% ต่ำกว่าตราสารหนี้ระดับ BB ซึ่งให้ผลตอบแทน -1.36% และเมื่อพิจารณาตราสารจำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรมของบริษัทที่ลงทุน พบว่าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนติดลบในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งหมด 18 กลุ่มอุตสาหกรรม ตราสารหนี้ในกลุ่มขนส่ง (-0.49%) ตราสารหนี้ในกลุ่มสาธารณูปโภค (-0.65%) และตราสารหนี้ในกลุ่มธนาคาร (-0.88%) ขณะที่สามกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดคือ 1. ตราสารหนี้ในกลุ่มพลังงาน (-2.57%) 2. ตราสารหนี้ในกลุ่มอุตสาหกรรม (-2.17%) และ 3. ตราสารหนี้ในกลุ่มยานยนต์ (-2.04%)

ส่วนต่างของผลตอบแทนตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์กับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (โดยใช้ Option adjusted spread) กว้างขึ้น 53 basis points เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 381 basis points ทำให้ราคาตลาดของตราสารหนี้ลดลงสู่ 96.40 ดอลลาร์สหรัฐฯในเดือน ต.ค. จาก 98.52 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.

ด้านผลตอบแทนตราสารหนี้กรณีใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนครบกำหนด (หรือที่เรียกว่า Yield to worst) ณ สิ้นเดือน ต.ค. ระดับ 6.89% พบว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นเดือนที่ระดับ 6.28%

ที่มา: AXA Investment Managers, ต.ค. 2018

นโยบายลงทุนของ AXA WF US High Yield Bonds I USD

ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคงที่และผันแปร โดยมีเป้าหมายในการบริหารกองทุนเพื่อให้ได้รายได้จากดอกเบี้ยในระดับสูงและสม่ำเสมอ

กองทุนหลัก (Master Fund)

ชื่อ: AXA WF US High Yield Bonds I USD

วัตถุประสงค์การลงทุน: แสวงหาผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตราสารหนี้ยูเอสไฮยิดล์ในระยะยาว

วันจดทะเบียน: November 2006

ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก

สกุลเงิน: USD

เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): BofA Merrill Lynch US High Yield Index.

Morningstar Category: Global Fixed Income

Bloomberg (A): AXUHYIU LX

Fund Size: USD 2,558 million (down from USD 3,951 million in July this year)

NAV: USD 234.72 (up from USD 222.99 in July this year)

Number of holdings: 224

ลักษณะสำคัญ: AXA IM Core HY Strategy และ เกณฑ์มาตรฐาน BofA Merrill Lynch US High Yield Index

ที่มา: AXA WF US High Yield Bonds I USD, เดือน ต.ค. 2018

ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 2018)