กองทุนบัวหลวง เผยกระแสตอบรับกองทุน SUPEREIF จากนักลงทุนคึกคัก พร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 22-26 และ 30-31 ก.ค. 2562 เหตุจากเล็งลงทุนในสิทธิในการรับโอนรายได้สุทธิจากกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่แน่นอนและมั่นคง ท่ามกลางสภาวะแนวโน้มดอกเบี้ยที่ต่ำต่อเนื่อง
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กระแสการตอบรับของนักลงทุนที่ให้ความสนใจ อีกทั้งสอบถามข้อมูลของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี หรือ SUPEREIF เข้ามาผ่านช่องทางต่างๆ ของทั้งกองทุนบัวหลวง และธนาคารกรุงเทพ ในช่วงที่ผ่านมาคึกคักมาก โดยที่กองทุน SUPEREIF เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO)ในวันที่ 22-26 และ 30-31 ก.ค. 2562 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนครั้งแรกไม่เกิน 8,150 ล้านบาท แบ่งเป็น การออกและเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 5,150 ล้านบาท (จากราคาเสนอขาย 10 บาท/หน่วยลงทุน ที่จำนวนหน่วยลงทุนไม่เกิน 515 ล้านหน่วย) และอีกไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เป็นการกู้ยืมเงินระยะยาวจากสถาบันการเงิน
สำหรับกองทุน SUPEREIF จะอยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดยกองทุนบัวหลวง ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีจำนวนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 4 กองทุน (รวมกองทุนนี้) จากทั้งหมด 8 กองทุนในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังได้ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SUPER ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กว่า 700 เมกะวัตต์ และเป็นบริษัทแม่ของผู้ขายทรัพย์สินกลับเข้ามาทำหน้าที่ดูแลสินทรัพย์อีกด้วย นอกจากนี้ SUPER ยังตกลงที่จะถือหน่วยลงทุนในกองทุนนี้ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 20% ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดในช่วงระยะเวลา 12 ปีแรก ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกชั้นหนึ่งด้วย
นายพีรพงศ์ กล่าวว่า รู้สึกมั่นใจกับกระแสตอบรับในการเสนอขาย IPO ของกองทุน SUPEREIF ในครั้งนี้ จากปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้นักลงทุนสนใจกองทุนนี้มาก น่าจะมาจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ประกอบกับกองทุน SUPEREIF จัดอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่เผชิญกับความผันผวนของตลาดค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกัน นักลงทุนคาดหวังในเรื่องความแน่นอนและความมั่นคงของรายได้อีกทางหนึ่ง
“การลงทุนใน SUPEREIF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ อีกทั้งความเสี่ยงไม่สูงมากเหมือนกับการลงทุนในหุ้นทั่วไป ดังนั้น นักลงทุนควรที่จะมี SUPEREIF อยู่ในพอร์ตลงทุนของตนเอง เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมีความเสี่ยงค่อนข้างน้อย และมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” นายพีรพงศ์ กล่าว
ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กองทุนบัวหลวง บริษัทจัดการกองทุน SUPEREIF พร้อมด้วย บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่นผู้สนับสนุน รวมทั้ง ธนาคารกรุงเทพ ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน จัดงานโรดโชว์เพื่อนำเสนอข้อมูลแก่ผู้สนใจในกองทุนนี้ ณ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ ปรากฎว่าได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้สนใจสำรองที่นั่งและเข้าร่วมงานเต็มจำนวนที่นั่ง
“กองทุนนี้ออกมาสอดคล้องกับธีมลงทุนของกองทุนบัวหลวงในปีนี้ ที่ว่า รุ่งเรืองด้วยโครงสร้างพื้นฐาน บนสายพานของโลจิสติกส์ เนื่องจากเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กองแรกในประเทศไทย เรามองว่า SUPEREIF เป็นกองทุนที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาว อีกทั้งสามารถลงทุนได้ตลอดทุกช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจ (STAYING INVESTED THROUGH ALL MARKET CYCLES) ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตมากหรือน้อยเพียงใด ไฟฟ้าก็มีความจำเป็นกับชีวิตประจำวัน อีกทั้งทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยให้ความสำคัญกับการหันมาใช้พลังงานสะอาด จึงเป็นกิจการที่มีรายได้มั่นคง มีศักยภาพเติบโตได้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว
ด้านนายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SUPER กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่า กองทุน SUPEREIF จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนที่มองหาสินทรัพย์ทางเลือก โดยนักลงทุนมีโอกาสรับรายได้ที่สม่ำเสมอ มั่นคง เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้ง 19 โครงการ ที่บริษัทขายสิทธิในการรับโอนรายได้สุทธิให้กับกองทุน SUPEREIF มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเชิงพาณิชย์อยู่แล้ว ด้วยราคาคงที่ 5.66 บาทต่อหน่วย ตลอดระยะเวลาสัญญาซื้อขายโดยมีอายุสัญญาเฉลี่ยคงเหลือประมาณ 21-22 ปี อีกทั้งตัวกองทุนยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีก จากการที่บริษัทอาจพิจารณานำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งอื่นๆ ขายเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต
“โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 19 โครงการ ที่กองทุน SUPEREIF จะเข้าลงทุนในรายได้สุทธินั้น มีกำลังการผลิตรวม 118 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1 ใน 6 ของกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่บริษัทดูแลอยู่เท่านั้น ในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะพิจารณานำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งอื่นๆ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วขายให้กองทุนนี้เพิ่มเติมตามช่วงเวลาที่บริษัทมีแผนระดมทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติม” นายจอมทรัพย์ กล่าว
ในปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 3,000-4,000 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 10% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทุกประเภท ทั้งนี้ ภาครัฐบาลตั้งเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดเป็น 30% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ดังนั้น พลังงานแสงอาทิตย์ย่อมมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคตเพราะเป็นพลังงานสะอาดที่ต้นทุนถูกที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุน SUPEREIF
กองทุน SUPEREIF จะลงทุนครั้งแรกในสิทธิรายได้สุทธิที่จะเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 19 โครงการ กำลังการผลิตรวม 118 เมกะวัตต์ ของ บริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด (17AYH) และบริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (HPM) โดยบมจ. ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น หรือ SUPER ถือหุ้น 99.99% ในทั้ง 2 บริษัทนี้ สำหรับระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิจะเริ่มตั้งแต่วันที่กองทุนเข้าลงทุนในทรัพย์สินสำเร็จ จนถึงวันที่ 26 ธ.ค. 2584 หรือประมาณ 22 ปี
สำหรับนโยบายจ่ายเงินปันผลจะจ่ายไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง เว้นแต่ปีแรกและปีปฏิทินสุดท้ายของการลงทุนของกองทุนฯ กองทุนบัวหลวงจะพิจารณาจำนวนครั้งของการจ่ายตามความเหมาะสม โดยคาดว่าอัตราเงินจ่าย (เงินปันผล และเงินคืนทุน) ในรอบระยะเวลาการลงทุน 12 เดือนแรกของ SUPEREIF จะอยู่ที่ประมาณ 7.49% นอกจากนี้ ในกรณีเป็นบุคคลธรรมดาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อได้รับเงินปันผลจะได้รับยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% ใน 10 ปีภาษีแรกนับตั้งแต่วันที่กองทุนจัดตั้งสำเร็จอีกด้วย
โดยสรุป กองทุน SUPEREIF มีกองทุนบัวหลวงเป็นบริษัทจัดการ ธนาคารกรุงเทพ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่าย (อันเดอร์ไรท์เตอร์) ธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ โดยจะเปิดให้จองซื้อ IPO ระหว่างวันที่ 22-26 ก.ค. และ 30 ก.ค. 2562 (ในเวลาทำการของสาขาที่เปิดรับจองซื้อ) และ 31 ก.ค. 2562 ก่อนเวลา 15.30 น. ราคาเสนอขาย 10 บาท/หน่วย กำหนดจำนวนหน่วยลงทุนขั้นต่ำของการจองซื้อ 2,000 หน่วย ทวีคูณ 100 หน่วย สถานที่จองซื้อ คือ ธนาคารกรุงเทพ ทุกสาขา ยกเว้นสาขาไมโคร
ในส่วนของการจัดสรรหน่วยลงทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไป จะเป็นแบบ Small Lot First คือให้ผู้ที่จองซื้อจำนวนน้อยได้สิทธิการจองซื้อได้ก่อน ส่วนการประกาศผลการจัดสรรหน่วยลงทุน อย่างเร็วสุด คือ ภายในวันที่ 2 ส.ค. 2562 โดยผู้จองซื้อสามารถตรวจสอบผลการจัดสรรได้ที่สำนักงานของบริษัทจัดการ สำนักงานใหญ่และแต่ละสาขาของผู้จัดการการจัดจำหน่าย ยกเว้นสาขาไมโคร (ในวันทำการเท่านั้น) หรือเว็บไซต์ตามที่กำหนด ได้แก่ www.settrade.com หรือ www.supereif.com
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต