ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่5)

ซีรี่ส์: จีนผู้ชนะ (ตอนที่5)

เราได้เห็นท่าทีที่ชัดเจนและต่างกันคนละขั้วระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ในขณะที่ทรัมป์ประกาศนโยบาย America First ซึ่งแปลว่าผลประโยชน์ของสหรัฐต้องมาก่อน การค้าเสรีไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป เพราะว่าสหรัฐจำต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ทรัมป์ไม่พูดเรื่องการค้าเสรี แต่จะเน้นการค้าที่แฟร์ ทั้งๆที่ผ่านมาสหรัฐได้ประโยชน์จากการค้าเสรีอย่างเหลือคณา

ส่วนสีบอกว่าจีนจะสนับสนุนการค้าเสรีของโลกต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะไม่พร้อม แต่เมื่อไม่มีใครอื่นยอมทำหน้าที่นี้ จีนจำต้องแสดงความเป็นผู้นำโลกในการปกป้องการค้าเสรีที่เป็นพื้นฐานของความมั่งคั่งของประเทศที่มาจากการค้าขายระหว่างประเทศ

มันเป็นเรื่องน่าประชดที่สหรัฐ ที่เป็นสัญลักษณ์ของเสรีนิยมประชาธิปไตยกลับหันหลังให้กับการค้าเสรี และใช้มาตรการกีดกันการค้าในยุคทรัมป์เพื่อจัดการกับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ โดยเฉพาะกับจีน ส่วนจีน ซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์กลับให้การสนับสนุนกับการค้าเสรีของโลกอย่างเต็มที่

โลกกำลังกลับตาลปัตร

ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทรัมป์กำลังดำเนินนโยบาย America First บนพื้นฐานของความอ่อนแอ ด้วยการล้มข้อตกลงกฎเกณฑ์ต่างๆ ส่วนจีนกลับดำเนินนโยบายการค้าที่เปิดกว้างขึ้น โดยกำลังเปิดเสรีในด้านต่างๆของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน แบงกิ้ง ประกันภัย หลักทรัพย์ฯลฯ แสดงว่าจีนกำลังดำเนินนโยบายบนพื้นฐานของความเข้มแข็ง

ในเวทีประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 ในเดือนตุลาคมปี 2017 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า จีนได้ก้าวเข้ามาสู่ยุคใหม่แล้ว และมีความพร้อมที่จะไปยืนอยู่บนกลางเวทีโลก และมีบทบาทที่สำคัญต่อมวลมนุษยชาติ

โมเดลของการเจริญเติบโตของจีนภายใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์ได้เจริญงอกงาม และกลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาอื่นๆ

คำพูดของสีเป็นการสื่อข้อความที่ชัดเจนที่สุดว่า จีนมีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกในอันดับต่อไป ประเด็นอื่นๆที่สะท้อนนโยบายที่เป็นมิติใหม่ของจีนคือ

  1. การพัฒนาของจีนอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมาภายใต้ระบอบสังคมนิยมแบบลักษณะเฉพาะของจีน (socialism with Chinese characteristics) ชี้ให้เห็นว่ามีทางเลือกใหม่สำหรับประเทศอื่นๆ
  2. ในขณะที่สหรัฐต้องการปิดประเทศกับการค้ากับประเทศอื่น จีนพร้อมที่จะดำเนินนโยบายเปิดกว้างสำหรับทุกประเทศเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
  3. ให้แต่ละประเทศเอาของดีมาแชร์กัน โดยจีนพร้อมเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงให้มีการกระจายไปทั่วโลก
  4. นวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าและเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสันติภาพ หลักประกันเสรีภาพคือจีนต้องมีแสนยานุภาพทางทหารที่เข้มแข็ง มิเช่นนั้นการลงทุนของจีนในต่างประเทศ หรือเครือข่ายของความร่วมมือที่สร้างขึ้นมากับนานาประเทศอาจต้องเผชิญกับภัยคุกคาม
  5. พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนมีการประสานความร่วมมือกับพรรคการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อที่หารือและทำความเข้าในซึ่งกันและกัน เพราะว่าพรรคเป็นตัวแทนของระบอบการเมือง
  6. อำนาจของสี จิ้นผิงเพิ่มขึ้นอย่างมากในการเป็นผู้นำในสมัยที่2 เพราะว่าเป็นทั้งประธานาธิบดี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน สถานภาพของสีถูกยกระดับสูงขึ้นคล้ายกับของประธานเหมา โดยความคิดของสีจะถูกบันทึกลงไปในกฎระเบียบของพรรคหรือรัฐธรรมนูญของประเทศ

หลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์มีนักวิเคราะห์หลายลงลงความเห็นว่า สี ซึ่งขึ้นมามีอำนาจตั้งแต่ปี 2012 ได้รวบอำนาจ และได้ทำการปราบคอรัปชั่นต่างๆ จนสามารถนำพาจีนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ มีความเจริญและความเข้มแข็งไม่แพ้มหาอำนาจจากโลกตะวันตก และมีความเป็นไปได้ที่สี ซึ่งกำลังดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 อาจจะได้ต่ออายุในสมัยที่ 3 ก็เป็นไปได้

ในขณะที่โมเดลของจีน ซึ่งโลกตะวันตกมองว่าเป็นเผด็จการ และประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพ แต่โมเดลสังคมนิยมแบบเฉพาะของจีนนี้ ซึ่งมีรัฐบาลที่เข็มแข็ง และรัฐบาลเป็นผู้นำกลับสามารถพลิกให้จีนสามารถมีความก้าวหน้าไล่ทันมหาอำนาจโลกตะวันตก โดยจะใช้เวลาเพียง 50 ปี ส่วนโมเดลประชาธิปไตยของสหรัฐกลับมีแต่ความขัดแย้งวุ่นวาย ต่อรองผลประโยชน์และอำนาจกันทำให้สหรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างเพื่อกลับมาครองความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวเหมือนในอดีตได้