โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา, AFPT™
กองทุนบัวหลวง
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตของเราทุกคน ตั้งแต่วิธีการดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่ต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต การวางแผนการเงิน และการวางแผนลงทุนด้วย ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายของเรา ในการที่ปรับตัวให้สามารถอยู่รอด และสามารถเติบโตต่อไปได้แบบ Next Normal
สำหรับการวางแผนชีวิต และการวางแผนการเงินแบบ Next Normal ซึ่งนับว่าเป็นอีกขึ้นหนึ่งของ New Normal ไปแล้ว เพราะเป็นการก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตในรูปแบบเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพ ด้วยการปรับพฤติกรรมในการเข้าสังคม หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก ลดการสัมผัส เน้นการปกป้องและดูแลสุขภาพ ทำประกันเพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงจากโอกาสที่จะสูญเสียเงินไปกับการรักษาโรค รวมถึงต้องจัดการที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อการทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในการทำงาน อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ และอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สะดวกทำงานในรูปแบบออนไลน์
แต่ไม่ว่าชีวิตเราจะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร การวางแผนลงทุนยังเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องลงมือเสมอ เพื่อที่เงินของเราจะได้เติบโตได้ตามเป้าหมาย หรืออย่างน้อยก็เพื่อรักษามูลค่าจากเงินเฟ้อ สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ ควรพิจารณาลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ/หรือ ได้รับผลประโยชน์จากเทรนด์โลกในอนาคต โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้ธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี และนวัตกรรมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงพฤติกรรมของคนก็ปรับเปลี่ยนตามไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างการใช้ชีวิตประจำวัน ตื่นนอนด้วยเสียงปลุกจากผู้ช่วยส่วนตัว Alexa ของ Amazon, สั่งอาหารผ่าน App, ประชุมผ่าน Microsoft Team, คุยกับลูกค้าผ่าน Zoom, ออกกำลังกายผ่าน YouTube, หาเพื่อนรู้ใจผ่าน Tinder ฯลฯ พฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงเทรนด์โลกในอนาคตได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น ในการลงทุนจึงควรพิจารณาปรับกลยุทธ์ในการลงทุนให้ทันสมัย สอดคล้องไปกับเทรนด์ของโลก เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมในไทยมีให้เลือกไม่มาก การลงทุนในต่างประเทศจึงนับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีตัวเลือกในการลงทุนที่มากกว่า อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศอย่างเดียวได้อีกทางหนึ่งด้วย
การลงทุนในต่างประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจกันมากก็คือ “กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ” ในรูปแบบของ Feeder Fund นั่นคือ การส่งเงินลงทุนไปยังกองทุนหลักในต่างประเทศ โดยมีผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในธุรกิจนั้นๆ คอยบริหารจัดการให้ ส่วนผู้จัดการกองทุนในไทยก็จะเป็นตัวแทนของผู้ลงทุน ในการติดตามข้อมูลการลงทุนอยู่เสมอ
โดยปัจจุบันกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ/หรือ ได้รับผลประโยชน์จากเทรนด์โลกในอนาคตมีให้เลือกมากมาย ซึ่งในแต่ละกองทุนก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป อย่างกองทุนบัวหลวงเองจัดตั้งไปแล้ว 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) จุดเด่นคือ เน้นลงทุนในหุ้นหมวดเทคโนโลยี (Information Technology Sector) ยกตัวอย่าง บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Apple, Alphabet, Intel
ส่วนอีกกองทุนชื่อว่า กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE) จุดเด่น คือ เน้นลงทุนในหุ้นที่คิดว่าจะเป็นเทรนด์ในอนาคต แน่นอนว่าต้องมีพวกปัญญาประดิษฐ์ สินค้านวัตกรรม รวมถึงการบริโภคของจีน ซึ่งทั้ง 2 กองทุนนี้ได้จัดทำในรูปแบบของการลงทุนทั่วไปและการลดหย่อนภาษี
อย่างไรก็ตาม กองทุนบัวหลวงมีความมั่นใจว่า ธุรกิจที่จะสามารถเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์โลกในอนาคต ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “การผลิต” เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่คิดค้นได้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายธุรกิจที่สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมนี้ไปต่อยอดได้ เช่น การทำ Product Innovation ของ Nike ผลิตรองเท้าวิ่งที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพของผู้ใช้งาน, การพัฒนา Process Innovation ของเกษตรกร เพื่อเพิ่มผลผลิตด้วยการทำ Smart Farmer, การเพิ่ม Business Innovation ของ Facebook ที่เพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ค้ารายย่อย เป็นต้น นั่นหมายความว่า ยังมีธุรกิจอีกหลายอย่างที่แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม แต่สามารถนำมาขับเคลื่อน ต่อยอดการทำธุรกิจให้เติบโตตามเทรนด์อนาคต และสามารถสร้างผลกำไรต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้ กองทุนบัวหลวง จึงได้เพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้สอดคล้องไปกับเทรนด์โลกอนาคต ด้วยการจัดตั้งกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่ชื่อว่า “กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลธีมเมติกออพพอร์ทูนิตี้ (B-GTO)” กองทุนประเภท Feeder Fund ลงทุนในกองทุนหลักชื่อว่า Wellington Global Innovation Fund โดยคาดหวังว่า กองทุนนี้จะช่วยเติมเต็มความต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาใช้ในการสร้างสรรค์ ผลิต และพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สะดวก สบาย และสนุก สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนในโลกอนาคต ส่งผลให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนสอดคล้องไปกับเทรนด์โลกอนาคต ขอแนะนำให้มีติดพอร์ตลงทุนไว้ โดยนำไปใส่ในพอร์ตลงทุนระยะยาวที่มากกว่า 5 ปีขึ้นไป สำหรับสัดส่วนการลงทุนนั้น ขอให้พิจารณาถึงความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเองและภาพรวมของพอร์ตลงทุนว่ามีสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากเกินไปแล้วหรือไม่ ถ้ามีอยู่ค่อนข้างมากก็อาจพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย กระจายไปยังหุ้นต่างประเทศบ้างก็ได้ หรือในกรณีที่มีสินทรัพย์เสี่ยงน้อย ก็อาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทน