ในเวทีที่ประชุมของ World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนยอมหลีกทางให้ทรัมป์ เพราะว่าสีขโมยซีนไปเรียบร้อยในการประชุม WEF ในปีที่แล้ว โดยสียอมลงทุนไปเมืองดาวอสเพื่อประกาศว่า จีนพร้อมที่จะเป็นผู้นำที่จะปกป้องการค้าเสรีโลก โดยที่ทุกๆประเทศควรที่จะได้รับส่วนแบ่งของผลประโยชน์ของการค้าเสรี และการเจริญเติบโตที่เหมือนกัน สีสื่อข้อความที่ตรงข้ามกับทรัมป์ที่ประกาศนโยบายAmerica First และดำเนินนโยบายการค้าในรูปแบบการกีดกัน (protectionism) เนื่องจากว่าสหรัฐกำลังเพลี้ยงพล้ำจีนอย่างหนักในเรื่องการค้า และเศรษฐกิจ สาเหตุเป็นเพราะว่าสหรัฐมุ่งเน้นการบริโภคที่เกินตัวมากเกินไป ในขณะที่จีนเน้นเศรษฐกิจพื้นฐานของการผลิตที่แท้จริง
ในปีนี้ สีส่งนาย Liu He หรือมือขวาของเขาด้านเศรษฐกิจให้มาเป็นหัวหน้าคณะที่มาประชุมที่เมืองดาวอส เพื่อประชันกับทรัมป์แทน นายหลิวจบจากมหาวิยาลัยฮาร์วาร์ด และเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันตำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของ Office of the Central Leading Group on Financial and Economic Affairs และเป็นรองผู้อำนวยการ National Development and Reform Commission เขามาร่วมประชุมที่เวทีดาวอสตั้งแต่ปี 1993 แต่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่นายหลิวได้ขึ้นเวทีในฐานะผู้พูดในวงการประชุม
นายหลิวสานต่อสิ่งที่สีพูดในเวที WEF ในปีที่แล้ว โดยบอกว่าจีนจะยึดมั่นในระบบเศรษฐกิจที่เปิดเสรี ด้วยมาตรการที่จับต้องได้ การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการเงินของจีนจะดำเนินไปอย่างเต็มที่ โดยนักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจแบงกิ้ง หลักทรัพย์ ประกันภัย จัดการกองทุนรวมได้อย่างเต็มที่
เขาบอกว่าจีนจะสร้างประเทศให้มีความมั่งคั่งปานกลางในทุกระดับภายในปี 2020 และภายในปี 2050 จีนจะกลายเป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ที่ยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะนำพาประเทศอื่นๆไปสู่ความมั่งคั่งด้วยกันโดยไม่มีการกีดกัน
นายหลิวบอกว่า จีนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากที่เคยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงปริมาณที่สูง มาสู่การเติบโตเชิงคุณภาพ ทำให้จีนต้องมีการปรับโครงสร้างภายใน โดยจะเน้นการปฏิรูปด้านซับไพลไซด์ หรือการลดกำลังการผลิตส่วนเกิน แต่ไปเน้นการบริโภคภายใน และสร้างธุรกิจใหม่ๆ รวมทั้งการสร้างความเป็นผู้นำของจีนในด้านสวัตกรรม และเทคโนโลยี่ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะแก้ปัญหาความยากจน ควบคุมมลภาวะที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างสังคมจีนให้มีความมั่งคั่งพอสมควรในทุกด้าน
เขากล่าวต่อไปว่า นอกจากจะเปิดตลาดแล้ว จีนจะเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในโครงการ One Belt One Road หรือเส้นทางสายไหมใหม่ เพื่อเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกัน ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเส้นทางสายไหมใหม่ จีนจะยึดมั่นในบรรษัทภิบาล โดยจะมีการปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศที่ร่วมพัฒนาโครงการ โดยจะตั้งอยู่บนฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และปกป้องการค้าแบบพหุภาคีที่เป็นเสรี เพื่อการสร้างประชาคมโลกเพื่อคนทั้งโลก
พอถึงเวลาทรัมป์พูดปิดประชุม WEF ในวันสุดท้าย ปรากฎว่าไม่ได้สร้างความฮือฮาอะไรมาก เพราะว่าทุกคนทราบกันดีว่าทรัมป์จะมาแถลงข้อข้องใจของนโยบาย America First ของตัวเอง ที่ดูตามเนื้อผ้าแล้วเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาก่อน หรือการใช้อำนาจการต่อรองที่สูงของสหรัฐในการบีบเงือนไขทางการค้ากับประเทศที่อ่อนแอกว่า
ทรัมป์พูดเรื่องอเมริกามาก่อนจริง โดยบอกว่าการค้าเสรีต้องมาควบคู่กับการค้าที่แฟร์ด้วยกันทุกฝ่าย ทรัมป์บอกว่าเขาจะไม่ลังเลที่จะใช้นโยบาย America First เพื่อที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่ดีกว่ากับประเทศคู่ค้า แม้แต่สื่อสหรัฐยังแซวทรัมป์ว่า บางครั้งพูดไม่เหมือนประธานาธิบดี แต่เหมือนประธานหอการค้าอเมริกัน เพราะทรัมป์บอกว่าเวลานี้เป็นจังหวะดีที่บริษัทต่างๆหรือนักลงทุนทั้งหลายควรที่จะมาลงทุนในสหรัฐ เพราะว่ารัฐบาลของเขาได้ลดภาษีอย่างมากไปแล้ว และได้ตัดลดกฎเกณฑ์ต่างๆที่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจและการลงทุน นอกจากนี้การค้นพบแหล่งพลังงานใหม่จะเป็นการดึงดูดเม็ดเงินการลงทุน
โดยสรุปแล้ว สีไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับทรัมป์ใน WEF แค่ส่งกระบี่มือสองมาก็พอ ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างนโยบายของจีนที่ดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อที่จะผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจหมายเลขหนึ่งของโลก ส่วนทรัมป์พูดนโยบายในเชิงรับ เพราะว่ามีกลิ่นไอของการกีดกันการค้า และน้ำเสียงแบบเซลล์แมนเชื้อชวนให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในอเมริกาเพื่อทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง