สรุปความสัมภาษณ์
เสกสรร โตวิวัฒน์ CFP®
ขณะนี้หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศใหญ่ในกลุ่มตะวันตก มีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้าง ทำให้เมื่อรวมจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วกับผู้ที่เคยติดโควิดและหายเรียบร้อยแล้ว มีรวมกันเกินอัตรา 70% ของประชากรทั้งประเทศ
ตัวเลขนี้เป็นสำคัญที่บ่งบอกว่าประเทศนั้นๆ มีภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity และเป็นตัวเลขที่ระดับสากลยอมรับ ทำให้ประเทศเหล่านี้สามารถเปิดประเทศ กลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้
เราจะเห็นว่าประเทศในกลุ่มที่กล่าวมานี้ พยายามผลักดันเรื่องการกระจายวัคซีน รวมทั้งเน้นรักษาระดับอัตราการติดเชื้อ เพราะไม่ต้องการให้ประเทศตัวเองต้องกลับมาล็อคดาวน์อีกครั้ง ซึ่งก็น่าจะดำเนินการได้
ขณะที่ประเทศในฝั่ง Emerging Market ซึ่งก็รวมถึงประเทศในแถบเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยเอง ก็จะเดินตามแนวทางนี้เช่นกัน
เมื่อกลับมาดูในแง่ของการลงทุน เราจะพบว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นประเทศต่างๆ ล้ำหน้าไปก่อนที่ประเทศเหล่านั้นจะกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษกิจตามปกติแล้ว โดยหุ้นหลายตัวปรับขึ้นไปรอก่อน เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากมองไปถึงการลงทุนระยะยาว มองเห็นล่วงหน้าก่อนแล้วว่าภาพที่เห็นอยู่ในเวลานี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงเข้าไปลงทุนดักรอก่อน
จากการที่ประเทศต่างๆ ทยอยเปิดประเทศ เศรษฐกิจเริ่มกลับมา ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจกับ Theme การลงทุนที่สอดรับกับการเปิดประเทศ หรือ reopening ซึ่งก็จะพบว่า กิจการหรือว่าหุ้นหลายๆ ตัวในกลุ่มนี้ปรับขึ้นไปมาก เมื่อเป็นเช่นนึ้จึงเกิดคำถามในใจตามมาว่าควรจะลงทุนใน Theme นี้ต่อไปหรือไม่ หรือ Theme ไหนบ้างที่น่าสนใจลงทุนหลังเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้า
วิธีการลงทุนที่ดี คือ เริ่มจากพิจารณาว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นในระยะยาว และโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หลังจากผ่านพ้นผลกระทบจากโควิด หรือการหา next normal นั่นเอง จากนั้นก็พิจารณาเลือกลงทุนด้วยหลักการนี้
โดยรวมๆ แล้ว next normal ที่จะเกิด มี 3 ประเด็นหลักๆ ได้แก่
1.stay at home economy โดยต่อจากนี้ไป บ้านจะไม่ใช่แค่ที่พักอาศัยที่เรากลับไปพักผ่อนหลังเลิกงานอีกต่อไปแล้ว แต่บ้านจะกลายเป็นทั้งบ้าน สถานที่สันทนาการ และที่ทำงานในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเทคโนโลยีที่จะสนับสนุนการทำงานจากที่บ้าน สนับสนุนการใช้ชีวิตลักษณะนี้ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ อย่างเช่น metaverse หรือชุมชนโลกเสมือนจริงที่กำลังถูกพัฒนาขึ้น ซึ่งจะทำให้ในอนาคตเราอาจได้ประชุมร่วมกันในโลกเสมือนจริงก็ได้
2.touchless society ถือเป็นอีกแนวโน้มที่เราต้องใช้ชีวิตไปในทิศทางนี้ โดยโควิดจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตเราเหมือนเดิม แต่การแพร่ระบาดก็คงไม่หายไปง่ายๆ เพียงแต่ความรุนแรงของโรคจะลดลง ขณะที่มาตรการต่างๆ จะยังคงอยู่ เพราะฉะนั้นระบบหรือเทคโนโลยีที่สนับสนุนเรื่องการรักษาระยะห่างทางสังคมก็เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ เช่น เทคโนโลยีไร้สัมผัส อย่าง การชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-payment
3.การดูแลสิ่งแวดล้อม เทรนด์นี้จะอยู่กับเราตลอดไป เพราะคนทั่วโลกต้องร่วมมือกันหาวิธีการช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สนับสนุนพลังงงานสะอาด หรือทำให้เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ใน 3 เทรนด์ที่กล่าวมา กองทุนบัวหลวงก็มีหลายๆ กองทุนที่ลงทุนภายใต้แนวคิดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น B-SIP ที่ให้ความสำคัญเรื่องการรักษาโลกใบนี้ B-INNOTECH ที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ BCARE ที่ลงทุนในธุรกิจสุขภาพ B-FUTURE ที่ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ หรือว่า B-GTO กองทุนที่เต็มไปด้วยกิจการที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะมาเติมเต็มการใช้ชีวิตของเรา