บริษัทหลักทรัพย์ CLSA ออกรายงานว่าเศรษฐกิจของอินเดียคาดว่าจะเติบโตในระดับ 6.8% ในปี 2017-2018 นี้ แต่กำลังมีการฟื้นตัวโดยเศรษฐกิจปีหน้าจะโต 7.0-7.5%
เศรษฐกิจของอินเดียชะลอตัวลงจากปีที่แล้วที่โต 7.1% สาเหตุหลักมาจากการยกเลิกธนบัตรเก่ากว่า 80% ของธนบัตรที่หมดเวียน และการนำเอาระบบภาษีใหม่ หรือ Goods and Services Tax มาใช้ ทำให้เกิดความสับสนในระยะแรก
ช่วงที่มีการใช้ระบบ Goods and Services Taxใหม่ ภาคธุรกิจและภาคการผลิตเกิดการลดสต็อคสินค้า เพราะว่าไม่รู้แน่ชัดว่าสินค้าประเภทใดต้องจ่ายภาษีเท่าใด ทำให้มีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตแบบซับไพลเชน
แต่ CLSA บอกว่า ธุรกิจและภาคการผลิตของอินเดียเริ่มกลับมาสต็อคสินค้าหรือวัตถุดิบเหมือนเดิมแล้ว ทำให้เศรษฐกิจของอินเดียกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
นาย Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mahindra Asset Management Co บอกว่าเศรษฐกิจของอินเดีย และจีนมีขนาดเท่ากันที่ 250,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 แต่เวลานี้เศรษฐกิจของจีนใหญ่กว่าอินเดียถึง 5 เท่า
เศรษฐกิจอินเดียมีขนาด 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลานี้ เทียบกับ 12 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับจีน แต่นาย Shah เชื่อว่าอีก 7-8 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตเป็นเท่าตัวในระดับปัจจุบัน ทำให้มีโอกาสสูงสำหรับตลาดหุ้นของอินเดียที่จะเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจ
นาย Shah บอกว่า การบริโภคภายในจะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยดันจีดีพีของอินเดียในระยะข้างหน้า และการขยายตัวของระบบเครดิต และการพัฒนาระบบการเงินจะทำให้เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตแบบก้าวกระโดด
เขายกตัวอย่างว่าระบบเครดิตของอินเดียเมื่อเทียบกับขนาดของจีดีพีแล้วอยู่ที่ 57% แต่ระบบเครดิตของจีนเวลานี้อยู่ที่ 211% การเข้าถึงแหล่งเครดิตหรือระบบการเงินทำให้เศรษฐกิจจีนมีความก้าวหน้าเร็วกว่าอินเดีย แต่อินเดียกำลังเติบโตไปในทิศทางนั้น ทำให้ภาคการให้บริการทางการเงินของอินเดียกำลังเป็นดาวรุ่งของเศรษฐกิจ