By…วรารัตน์ วีระคงสุวรรณ
ถ้าให้พูดถึงท่าอากาศยานที่มีความไฮเทคระดับโลก ท่าอากาศยานนานาชาติ ชางงี สิงคโปร์ ไม่เป็นสองรองใคร ภายใต้แนวคิดที่อยากจะพัฒนาให้ อาคารผู้โดยสาร (Terminal) มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น ด้วยระบบอัตโนมัติ
ทั้งนี้สนามบินได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดัน Terminal 5 ให้กลายเป็นอาคารผู้โดยสารแห่งโลกอนาคตที่ให้บริการด้วยระบบอัตโนมัติแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมรองรับผู้โดยสารกว่า 50 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า เรียกได้ว่าปลอดแรงงานมนุษย์ตลอดทั้งอาคาร
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์ตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาสนามบินที่ใช้ระบบอัตโนมัติ เพราะสิงคโปร์กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องอายุเฉลี่ยของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงคนสิงคโปร์เริ่มจะไม่อยากทำงานที่ใช้แรงงาน อย่างเช่น ยกกระเป๋า หรือแพคกล่องอาหาร เป็นต้น
ขณะที่การนำเอานวัตกรรมสุดล้ำด้านเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ก็เพื่อให้ทุกย่างก้าวมาพร้อมกับการพัฒนาแบบไม่หยุดนิ่ง โดยมีเป้าหมายหลักคือ ท่าอากาศยานนานาชาติ ชางงี จะต้องโดดเด่น และยืนเหนือคู่แข่งได้ โดยความล้ำสมัยของสนามบินนี้จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการกับปัญหาเครื่องบินลงจอดยากเพราะคิวยาวได้แบบง่ายๆ เรียกว่าลืมระบบเก่าๆ ที่ต้องใช้หอควบคุมในการจัดการกับการลงจอดของเครื่องบินไปได้แบบหมดห่วง เช่นเดียวกับระบบแพคกิ้ง ระบบขนส่งกระเป๋า จนกระทั้งระบบจัดส่งอาหารก็จะใช้แรงงานหุ่นยนต์แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังคิดเผื่อไปถึงการจัดการคิวรถรับส่งแบบไร้คนขับไว้ให้เสร็จสรรพ
ก่อนหน้านี้สนามบินชางงี ได้เคยสร้างสร้างปรากฏการณ์เปิดตัวอาคารผู้โดยสารไฮเทคไปแล้วเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัว Terminal 4 (T4) ซึ่งนับเป็นอาคารผู้โดยสารแห่งแรกที่นำเสนอระบบ FAST (Fast and Seamless Travel ) ใช้เทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารขาออกด้วยระบบอัตโนมัติ 4 ขั้นตอน ทั้งการเช็คอิน ฝากกระเป๋า ตรวจหนังสือเดินทาง และตรวจผ่านขึ้นเครื่อง ล้วนผ่านเครื่องอัตโนมัติแบบไร้คนกำกับทั้งสิ้น โดยระบบการทำงานแบบอัตโนมัติใน T4 ถือเป็นจุดเริ่มต้น และนับเป็นการการทดลองระบบการทำงานแบบอัตโนมัติไปในตัว ก่อนที่ Terminal 5 ของสนามบินชางงีจะก้าวไปสู่การให้บริการแบบไม่ง้อแรงงานมนุษย์ในอนาคต